Saturday, July 30, 2005

ชอบไม่ชอบ กับ 5 ชอบ 5 ไม่ชอบ ของ สีสัน

เอาเฉพาะเรื่องหนังสือก็แล้วกัน
เรื่องหนังนะ ดูจะเหมือนๆ กันไปหมด
ที่ชอบก็ Closer, The Incridibles, Nobody Knows,
Be with you (ทำไมทรงบาดาลบอกว่าใครๆ ก็คิดแบบเราฟะ
ไม่เห็นเคยได้ยินใครพูดเลย งง)
ส่วนเรื่องเพลง ส่วนใหญ่ที่เขาพูดมา ข้าพเจ้าไม่เคยฟังทั้งนั้น
ไม่เห็นมีใครชอบ เพลงลูกท่งเหมือนข้าพเจ้าเลย
มีคนเริ่มไม่ชอบรายการคนค้นคนด้วยแหละ
ข้าพเจ้าก็กำลังนึกว่า รายการนี้เข้าทำนอง ให้สิบเอาร้อย
เหมือนรายการ ฝันที่เป็นจริง ของเฮียไตรภพ สมัยโน้น
เพราะคนจนได้รถเข็น แต่ไตรภพได้รถเบ็นท์ ... เฮ้อ เศร้า
ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงการเขียนถึง
5 ไม่ชอบ บางคนงดเขียนไปเฉยๆ บางคนเฉไปพูดเรื่องนามธรรม
หรือไม่ก็ปัญญาที่มันเป็นจริงและเกิดขึ้นตลอดกาลไปซะมั้น
... ทำไม เกิดอะไรขึ้นครับพี่ๆ คงกลัวลูบหน้าปะจมูกละสิ
ใช่ไหมครับ ใช่ไหมครับ ใช่ไหมครับ
(ขอเล่นมุขควายๆ ที่กำลังนิยามในบ้านเรานะไอแอม)



หนังสือที่เขาชอบ


หนังสือ บันทึกนึกเองได้ ของ ท่านพุทธทาส
... ยังไม่เคยอ่าน
หนังสือ ความคิดทางการเมืองของ เปลโต้ ถึงปัจจุบัน แปลโดย ศ. เสน่ จามริก
...ยังไม่เคยอ่าน
Tuesday With Morrie
... เฉยๆ
การเดินทางของ พาย พาเทล
... ยังรอโอกาสอ่าน
ทำอย่างไรให้โง่
...ของสำนักพ์วงกลมมั้ง อันนี้ก็รอคิวอ่าน
เจ็ดเรื่องสั้นของฟ้า
... นักเขียนคนโปรด
เรื่องเล่าผิดเวลา ของ เพเตอร์ บิคเซล
... ใครๆ ก็ชอบ แต่เขียนยากชะมัด
บริการรับนวดหน้า ของ ชาต กอบจิตต
...หลายคนชอบ แต่ข้าพเจ้ากลับเฉยๆ ยกเว้นเรื่อง แค้นนามธรรม
Fast Food Nation เขียนโดย Eric Schlosser
... ปราบดาชอบอันนี้ ข้าพเจ้าก็เพิ่งได้ยินเหมือนกัน
แล้วเราจะอยู่ด้วยกัน ของ สิริมา อภิจาริณ
... เล่มนี้อ่านแน่ๆ แต่เมื่อไหร่ ?
วะบิ-ซะบิ สำหรับศิลปิน นักออกแบบ กวี&นักปรัชญา เขียนโดย เลนนาร์ด โคเรนกรินทร์
... ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่จะลองไปหาอ่านดู
ยุให้รำ ตำให้รั่ว ของ ฮิมิโตะ นะโตเกียว
... ลองอ่านดูก็น่าสนใจนะ
Thursday Next : The Eyre Affair
... หนังสายลับแน่ๆ ท่าทางข้าพเจ้าคงขอผ่าน
หนังสือ เหมืองแร่ ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์
... คงเห่อกันไปตามหนังนั้นแหละ แปลกใจอะไรไม๊
ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล ของ วินทร์
...ไม่ค่อยกล้าอ่านหนังสือของวินทร์เท่าไหร่ รสนิยมไม่ต้องกันเท่าไหร่
สมมติฐาน ของปราบดา
... ชอบเหมือนกัน อ่านที่ร้านหนังสือ แพงไปหน่อยนะ feneko
กระทบใหล่เขา ของปราบดา
...แปลกใจที่เล่มนี้คนพูดถึงน้อย เพราะเป็นเล่มที่ปราบดาทำได้เยี่ยมมาก
การตามงานใครๆ จนรู้จักบุคลิกและเขียนออกมาในแนวล้อเลียนบ้าง
จริงจังบ้าง ถือได้ว่า ปราบ(ดา)เซียนสุดๆ เหมือน เรย์ ชาร์ล บอกว่า
เขาสามารถเลียนเสียงใครก็ได้ นั่นหมายความว่าเขาเรียนรู้วิธีการใช้เสียงของคนนั้น
และเมื่อเขาทำงานของตัวเองมันจึงเป็น ต้นฉบับ ที่แตกต่าง และชัดเจน
เล่มนี้น่าจะเป็นการแสดงวิธีการทำงานของปราบดา มากกว่าที่เขาเคยเขียนในเป็นเสียอีก
ตอนอ่านคอลัมน์นี้ใน GM ข้าพเจ้ารอวันที่คอลัมน์นี้รวมเล่ม เพราะไม่อยากตาม GM


หนังสือที่เขาไม่ชอบ

หนังสือดาราแฉดารา
... ข้าพเจ้าก็อ่านตามร้านหนังสือนั่นแหละ ขายดีจะตาย
หนังสือของ กิ๊ก กับ จิ๊บ
... หลังๆ ได้ยินว่าคนเริ่มไม่ชอบเยอะ เย้ เหมือนเรา
งานเขียนของ ฮ. นิกฮูกี้
... นักเขียนคนนี้สร้างเรื่องถกเถียงได้เยอะจริงๆ ยังไม่เคยลองอ่านจริงๆซะที
หนังสือที่หากินกับนายก
... ไม่ช่ายแค่หนังสือนะ คนที่หากินกับนายกนะ ข้าพเจ้าก็ระอา ทุกเรื่อง
เดี่ยวนี้ท่านสุ-ริ-ยะ-รอมอตอนะ เรียก 25 เปอร์เซ็นต์ของโครงการแล้วนะ
ข้าพเจ้าจะแอบถ่ายรูปตอนเขาจ่ายกันซะที โกงกันขนาดนี้แล้วคนทำงานจะเหลืออะไร
งานที่ได้ก็ออกมาห่วยๆ ตามเคย เฮ้อ วงการก่อสร้างของฉานนนนน



คร่าวๆ ก็มีเท่านี้แหละ เพราะนักวิจารณ์พูดถึงหนังสือกันน้อย
หวังว่าคงไม่ได้หมายความว่าอ่านน้อยด้วยหรอกนะ
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น วงการวิจารณ์บ้านนี้เมืองนี้
ก็มีแต่นักวิจารณ์ที่ใช้แต่อารมณ์ไร้หลักการและขาดเหตุผล





- - - - - - - - - - - - - - - -


พิเศษฝากให้คนที่ชอบพี่หมีเมือง ยกมาให้อ่าน

5 ชอบ
1. นิตยสาร OPEN ชอบเหมือนทุกปี แต่ต้องหยุดชอบเพราะหยุดทำ
พ๊อคเก็ตบุ๊คของ สำนัหพิมพ์ Open books เพราะรูปเล่มและเนื้อหาสวย
บทความของพระวิศาลวิสาโล เพราะประยุกต์ศาสนามาสะท้อนถึงสภาพสังคม
ข้อเขียนต่างๆ ของ มุกหอม วงษ์เทศ (ปราบดาก็ชอบนิเนอะ ...)
หนังสือฉบับแปลของ Davinci Code ของแดนบราวน์ สนุกตื่นเต้น น่าติดตาม
2. โรงหนัง ลิโ และ โรงหนัง House และ หนังเรื่อง The Incredibles
3. อัลบัมเก่าของ Pat Metheney ชุด Secret Story และ คอนเสิร์ท The Eagles
4. เพื่อนก๊วนเก่าใน ท้ายซอย เว็บหนึ่งหนึ่งที่ยังคุยต่อเนื่องกันยาวนาน
5. ตัวเองใจเย็นลง

5 ไม่ชอบ
1. นิตยสารและหนังสือเล่มประเภทคุณภาพห่วย แห่ตามขายแพง
2. มลพิษทางเสียงรอบเมือง เช่น เรดิโอสยามแสควร์ หรือเครื่องฉายที่ป้ายรถเมล์
3. สิ้นค้า OTOP - One Taksin One Pochaman ... (อันนี้อ่านแล้วขำตายไปเลย)
การพับนก การหาเสียงเลือกตั้ง ทั้ง สส และ ผู้ว่า กทม
4. เหตูการณ์ที่กรือเซะและตากใบ
5. ตัวเอง ที่ใจยังเย็นไม่พอ






เดี่ยว วันหลังจะมาสรุป 5 ชอบ 5 ไม่ชอบของข้าพเจ้าเองบ้าง
แบ่งหมวดเป็น หนังสือ หนัง เพลง และ เรื่องทั่วๆไป


ใครอยากรู้บ้างไม๊เนี่ย
มีแน่นอน ก็ตัวข้าพเจ้าเองไง


เขียนอะไรก็ได้ ที่ตัวเองอยากอ่าน
ตอนนี้อยากอ่าน 5 ชอบ 5 ไม่ชอบของเฟิงนั่นแหละ
หุหุหุ


อ้อ ใครแวะมาอ่าน บอก 5 ชอบ 5 ไม่ชอบได้นะ
ลองนึกดู นึกยากเหมือนกันนะ
เพราะต้องนั่งทบทวนเกือบทั้งปี แต่สนุกดี

Friday, July 29, 2005

เจ้าหงิญ : นิทานเดียวดายชายจากคนเดิม

เส้นทางที่ปราศจากอุปสรรคและไร้อันตราย
เราจะส่งไปเฉพาะคนที่อ่อนแอเท่านั้น

กฏของดาวเดียวดาย



กาลครั้งโน้น


สวรรด์ยังมีอยู่จริง บนดินแดนอันไกลโพ้น
เส้นทางที่จะดั้นด้นไปพบเจอมีเพียงแค่สอง
หนึ่งนั้นผ่านป่ารกทึบและทะเลทรายอันกว้างใหญ่
ไร้ผู้คน อดอยาก และเส้นลำเค็ญ ระหว่างทางไร้ที่พำนักอันถาวร
เป็นเส้นทางแห่งนักพรต วิถีแห่งธรรม
อีกหนึ่งนั้นผ่านเมืองอันรุ่งเรืองและสวยงาม
เส้นทางนี้จะแสนไกลและวกวน เต็มไปด้วยจุดพำนักอันน่าหลงใหล
หมุ่บ้านแห่งเงินตรา ตำหนักแห่งเกิยรติยศ ศาลาแห่งสรรเสริญ
พระราชวังแห่งครอบครัว และหมู่ถ้ำแห่งตัวตน

พระอาทิตย์มา พระจันทร์ลา
พระจันทร์มา พระอาทิตย์ลา

วันผ่าน คืนเปลี่ยน

ผู้คนต่างมุ่งหน้าสู่สวรรค์ ดินแดนแห่งสุขนิรันดร์
บางเลือกผ่านป่า บ้างเลือกผ่านเมือง
เส้นทางแห่งป่า เริ่มมีจุดพำนักที่เกือบจะถาวร
เส้นทางแห่งเมืองยิ่งเจริญและรุดหน้า
แต่สวรรค์กลับมีผู้คนน้อยลง และน้อยลง

เมื่อผู้คนน้อย ยิ่งกว่าน้อย สวรรค์จึงลอยขึ้น ลอยขึ้น
และลอยหาย เหลือเพียงตำนาน ใว้เล่าขานให้ลูกหลาน



กาลครั้ง นี้

ยังแต่งไม่จบ
เดี่ยววันหลังมาแต่งต่อ










- - - - - - - - - -

หนังสือที่เพิ่งอ่าน และอยากแต่งนิทานบ้าง




เจ้าหงิญ เป็นหนังสือ นิทานจาก บินหลา
เจ้าหงิญ เข้าชิงออสการ์ เอ้ย ไม่ใช่ ซีไรต์ กับเขาด้วย
ไม่พักต้องหวังถึงรางวัลชนะเลิศ
แค่นี้ก็จะน่าแปลกใจ ผสมกับความยินดีลึกๆ
ที่งานเขียนแบบนี้ จะเข้าตามกรรมการได้

เจ้าหงิญ ประกอบด้วย นิทาน 8 เรื่อง
ปริมาณความน่ารัก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เรื่องเล่าจากรักษิตา
แต่ เจ้าหงิญ ที่ถูกเล่าจาก ชายเดียวดายแห่งภูเขาภาคเหนือ
มันจึงมีอารมณ์แบบผู้ชายมากกว่า สาวสีชมพูอย่าง รักษิตา

Thursday, July 28, 2005

โยงใยในวันที่ห่าง

พระเจ้าสร้างความคิดใว้
ให้โยงใยเราถึงกัน
ในวันที่ต้องห่าง








ความคิดถึง คืออะไร
คำถามนี้คาใจฉันมาหลายเพลา

ฉันเคยจัดคำว่า คิดถึง อยู่ในกลุ่มคำ มายาคติ
ซึ่งกลุ่มคำนี้มีหลายๆ คำ ลักษณะหลักๆ ของกลุ่มคำนี้คิอ
มันถูกสร้างขึ้นมาจากกระบวนนึกเอาเอง คิดเอาเอง รู้สึกไปเอง
สร้างมายา ให้ยึดติด - นี่ไปใช่ข้อสรุปนะ แค่การจัดเป็นกลุ่มๆ

แต่ หลายอาทิตย์ก่อน ดูทีวี
พิธีกรยิงคำถามว่า คิดถึงพ่อไหม - คำว่าคิดถึงอีกแล้ว
เด็กน้อยอายุไม่เกิน 10 ขวบ
แถมยังมีปัญหาทางด้านสมอง
ไม่ได้ให้คำตอบเป็นถ้อยคำ
แต่หลั่งออกมาเป็นน้ำไหลออกมาจากดวงตา

ฉันเริ่มลังเลว่า ควรจะคัดคำว่า คิดถึง ออกจากกลุ่ม มายาคติ หรือไม่

แล้วความ คิดถึง ในความรู้สึกของเด็กน้อยคนนี้คือ อะไร
ทำไมมันถึงทำให้ เขาถึงกับหลั่งมันออกมาทางตา

มันคือ ความอบอุ่น ที่เขารอจากพ่อฤา
มันคือ ความปลอดภัย ที่พ่อเท่านั้นจะมีให้ฤา
มันคือ ส่วนที่หายไป ของหลักชีวิต ฤา

มันต่างหรือเหมือนกับความคิดถึง ในกรณีอื่นๆ หรือไม่
พ่อคิดถึงลูก ลูกคิดถึงคนรัก
คนรักคิดถึงแม่ แม่คิดถึงเพื่อน
เพื่อนคิดถึงพี่ พี่คิดถึงบ้าน
จิปาถะ

ฉันยังหาความเข้าใจใหม่ไม่ได้
ถ้า ความคิดถึง เป็น มายาคติ
แล้ว มายาคติ มักสร้างจากความนึกคิด
แต่เด็กๆ ที่ยังเน้นที่ความรู้สึก
ทำไมยังรู้จักคำว่าคิดถึง

งั้น ความคิดถึง ควรจะย้ายไปอยู่กลุ่ม
สัญชาติญาน ดีไม๊


คำตอบคือ
ไม่รู้
ใครรู้บ้างอะ

Wednesday, July 27, 2005

เมื่อรักจะทำร้ายกัน : เหคุการณ์ ไม่ปกติ

วันนี้ ออฟฟิศ ที่ฉันทำงาน
มีเหตุการณ์ ไม่ปกติ
ในสายตาฉัน

ผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาดี
เดินเข้ามาโวยวาย ที่ประชาสัมพันธ์
รุ่นน้องที่นั่งทำงานไม่ห่างกัน ลุกไปแก้ปัญหา
พาออกไปข้างนอก

ฉันเริ่มจับต้นจนปลายเหตุการณ์
จากที่เคยรู้ๆ มา

ผ่านไประยะหนึ่ง ทั้งสองกลับมา
ผู้หญิงนั่งอ่านหนังสืออย่างนิ่งๆ ที่โต๊ะรับแขก
แต่คงไม่สบายอารมณ์สักเท่าไหร่

น้องผู้ชายตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้
เล่าให้ฟังว่า ไปสถานีตำรวจมา
ไปลงบันทึกแจ้งความ ว่าเธอทำร้ายร่างกายเขา
พร้อมทั้งเปิดแผลใหม่ให้ดู



เมื่อกี้
น้องผู้หญิงร้องไห้ เสียงดัง
พูดอะไร ฉันได้ยินไม่ถนัด
ทั้งๆ ที่พยายามตั้งใจฟังมากๆ

ตอนนี้
น้องผู้หญิงกำลังยืนนิ่งๆ อยู่ที่โตีะทำของน้องผู้ชาย
บรรยากาศในที่ทำงานกระอักกระอ่วนมากๆ

ส่วนฉัน พยายามนั่งนึกทบทวน
เรื่องที่รุ่นน้องคนนี้เคยเล่าให้ฟัง

เธอเป็นหมอและเคยคบหาเป็นแฟนกับเขา -วิศวกร
แล้ววันหนึ่ง ทั้งสองก็เลิกกัน
ผู้หญิงก็เริ่มตามราวี เพราะไม่ยอมเลิก
จนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย
น้องผู้ชาย ต้องเปลี่ยนเบอร์ ย้ายที่อยู่ ขอย้ายไปทำงานที่อื่น
พร้อมทั้งให้ที่ทำงานบอกว่า ลาออกไปแล้ว
พยายามทุกวิถีทางที่จะหนี แต่เธอก็ฉลาด และตามหาจนเจอ
ตามราวีไปทุกที่ เป็นปีๆ

เมื่อเหตุการณ์มันเลวร้ายลงไปอีก
เขาปรึกษาพ่อแม่ของเธอ ให้ช่วยแก้ปัญหา
แต่ก็ไม่ประสบผล ผู้ใหญ่แนะนำให้แจ้งตำรวจ
ฟ้องร้องต่อศาล และขณะนี้เรื่องก็ยังอยู่ในศาล


ฉันมีข้อสงสัยอะไรมากมาย
แต่ก็รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปที่จะถาม

คำถามหนึ่ง ที่ฉันกล้าเอ่ย คือ
อยากให้เรื่องมันจบยังไง ไม่ใช่แค่ด้านของน้องผู้ชาย
ฉันหมายรวมถึงว่า น้องผู้หญิงอยากให้เรื่องมันจบยังไง


ฉันน่าจะมีโอกาสได้คุยกับน้องผู้หญิงคนนี้
เผื่ออย่างน้อย ฉันจะได้เข้าใจปัญหานี้ จากมุมของเธอบ้าง

ฉันยังไม่เห็นว่า ทั้งน้องผู้หญิงและน้องผู้ชาย ฝ่ายไหน
จะเป็นผู้ชนะในปัญญานี้ มีเพียงแต่ผู้แพ้ ที่แพ้แล้วแพ้อีก
เธอกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง และเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย

ทำไม คนที่เคยรักกัน
จึงพยายามทำร้ายกันขนาดนี้

Herbie: Fully Loaded




หนังเรื่องนี้ ไม่ได้ตั้งใจอยากไปดูหรอก
เพียงแต่ว่ารุ่นพี่โทรมาชวน ก็ไม่อยากปฎิเสธ
เหตุผลหลักๆคือ การไปเจอพี่ๆ เพื่อนๆ
เป็นการดูหนัง 20 - 40 คน
บรรยากาศแบบสมัยเรียนมัธยม นั่นแหละ
เดี่ยวนี้จะดูหนังแบบนี้บ่อยเหมือนกัน
ดูหนังกันเป็นฝูง สนุกไปอีกแบบ

ตัวหนังนะเหรอ ขี้โม้ สุดๆ ออกแนวหนังเด็กๆ
เรื่องของรถเต่า ที่มีชีวิต
เคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์ แล้วก็ผ่านช่วงที่ตกต่ำ
กำลังรอวันถูกอัดแยกชิ้นส่วนในสุสานรถเก่า

นางเอก เพิ่งจบมหาลัย กำลังจะไปทำงานที่ ESPN
แต่ก็ไม่อยากทิ้งสายเลือดของนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูล เพย์ตั้น

เมื่อทั้งสองตัวเอกมาเจอกัน นางเอก กับรถเต่า เฮอร์บี้
เรื่องมันก็ดำเนินไปตามสูตรนั่นแหละ
มีทั้งการแข่งขันกับตัวร้าย การตามหาความต้องการของตัวเอง
น้ำใจ ความจริงใจ และความซื่อสัตย์
ทั้งหมดนี้แล้วแต่ใครจะหาเจอหรือไม่

หนังสนุก ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดมาก
แต่พอถึงช่วงที่ หนังอยากสร้างพลังฮึกเหิม ก็ทำได้ไม่น่าเกลียด
หนังเรื่องนี้ imdb ให้ 4 ดาวกว่าๆ ก็ถือว่าต่ำนะ
แต่ถือได้ว่าเป็นหนังเด็กๆ ที่ดูได้ ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร

Tuesday, July 26, 2005

หนึ่งปี ผ่านไป บันทึกใว้ ... งั้นๆ แหละ



วันที่มีอายุครบสามสิบ
มีเงินเก็บหนึ่งล้านบาท
หามาได้ด้วยตัวเอง


แล้ว


นั่งคิด นอนคิด
ฝากคนอื่นคิด

เลือกทิศทางให้ชีวิต

เริ่มต้นด้วยการลาออกจากงาน
วางแผนไปแดนจิงโจ้เที่ยวไปเรียนไป

ชีวิตช่างน่าหอมหวาน
ความฝันจะกลายเป็นจริง

แต่ปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้น ฟ้าผ่ากลางวัน
ความจริงเหลือเพียง ไร้งาน และ ไร้เงิน

อย่าถามว่า ทำไม!
เพราะรู้ไปก็เปลี่ยนใหม่ไม่ได้


เริ่มต้นกันใหม่ ใครบอกว่า ง่าย
อย่าเชื่อ

ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ยากยิ่งนัก
ใครบอกว่า มีคนอื่นแย่กว่าเยอะ เราไม่ได้เริ่มต้นจากติดลบ
บอกกลับไปเลยว่า ตรูรู้แล้ว ขออย่าให้มรึงต้องเจอเลย
ชีวิตจริงๆ ต่างจาก การนั่งนึก การนอนดู หรือ การเงี่ยหูฟัง

เหมือนกำลังเดินเล่นกลางสวน ชมผีเสื้อ ชอบอากาศ วาดวิมาน
แล้วก็หล่นตุ๊บลงไปที่ก้นเหว
ตั้งตัว เตรียมใจ เริ่มใหม่ ต้องใช้เวลา







หนึ่งปี ผ่านไป ไม่ไว ไม่โกหก




พลังชีวิตมิใช่หมายถึง
ความสามารถในการยืนหยัดต่อสู้เท่านั้น
หากแต่ยังหมายถึง
ความสามารถที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง

Monday, July 25, 2005

บทรำพึง : เธอกับฉัน



ปฐม


วันเกิดเธอ
ตั้งใจเลือกการ์ด
บรรจงเขียนข้อความ


"หยินและหยาง
เธอกับฉัน
สุขหรือทุกข์"


เธอรับไป
เปิดอ่าน
แล้วร้องไห้







ปัจฉิม



วันเกิดฉัน
เธอมาหา
พร้อมของขวัญกล่องใหญ่


เปิดดูข้างใน
มีการ์ดหนึ่งใบ
อ่านข้อความ


"มีความยินดีเรียนเชิญเพื่อเป็นเกิยรติ
และร่วมรับประทานอาหาร
เนื่องในพิธีฉลองมงคลสมรส"







จุติ



แสงและเงา
มืดและสว่าง
หามีสิ่งใดแยกจากกัน
ทุกสิ่งล้วนดำรงค์อยู่ร่วมกัน
ดั่งพี่น้อง

Sunday, July 17, 2005

โลกหนังสือ : ผู้หลงใหลในความหวาน โดย รักษิตา




ผู้คนล้วนมีความฝัน และฉันก็เชื่อว่าเมล็ดข้าวโพดเล็กๆก็คงไม่แตกต่าง

บางเมล็ด อาจฝันอยากเป็นข้าวโพดต้ม ง่ายๆและงดงามในความหวานหอมของตนเอง
บางเมล็ดชอบความตื่นเต้นนิดๆ อาจคิดอยากเป็นข้าวโพดปิ๊ง
ต้องหมุนพลิกไปพลิกมาจนเหลืองจัดผ่าวไฟให้ทั่วฝัก ก่อนจะถูกโรยเกลือ ทาเนยละลาย หอมกรุ่น

บ้างเลือกที่จะเป็นข้าวโพดคั่ว อดทนผ่านร้อนหนาวจนเมล็ดแห้งได้ที่
รอวันดีๆ เวลาเหมาะๆ มาเคาะประตู เรียกให้กระโดดไปมาในความร้อน
จนผิวปริแตกออกเป็นปุยขาว เป็นข้าวโพดก้อนเมฆ เสร และมีรูปทรงไม่ซ้ำกันกับใคร

สำหรับข้าวโพดเมล็ดที่ฝักใฝ่ในความรัก อาจฝันอยากเป็นเช่นคาลิล ยิบราล รจนาใว้
ความรัก ยอมหลุดออกจากเปลือก ถูกบดจนกลายเป็นผง
ขยำจนอ่อนเปียก และเดินทางเข้าสู่กองไฟศักดิ์สิทธิ์ของความรัก
เพื่อเป็นอาหารทิพย์ของพระเจ้า หรือ อาจจะฝันเพียง ขนมปังข้าวโพดนุ่มๆ
อาหารธรรมดาๆของผู้คนก็คงได้ ไม่ว่ากัน

บางเมล็ดยังคงฝันงอกงาม ค่อยสะสมความอุดมจากพื้นดิน ท้องฟ้า และแสงตะวัน
เติบโตตามความฝัน เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตที่งดงาม

: - จากตอน เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต


ใบไม้เล็กๆ ใบหนึ่งมีความฝันอยากโบยบิน
พวกใบไม้แก่ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะในความคิดฝันของใบไม้น้อยๆ

จนอยู่มาวันหนึ่งมีหนอนแก้วตัวหนึ่งหลงทางมา
ตัวหนอนเหนื่อยและหิวมาก แต่ไม่มีใบไม้ใดยอมให้หนอนกัดกิน

"เราไม่มีวันยอมเป็นอาหารของตัวหนอนอ้วนน่าเกลียดอย่างเจ้าหรอก"
ใบไม้อื่นๆ พากันเมินหนี
"ฉันคงต้องตายเพราะความหิวเป็นแน่" ตัวหนอนกล่าว
แต่ใบไม้น้อยๆไม่คิดเช่นนั้น
"กัดกินฉันสิ หากว่ามันจะช่วยให้ท่านรอดชีวิตได้"
ใบไม้กล่าวพลางขยับไปใกล้ๆ ตัวหนอน

เวลาผ่านไป ตัวหนอนหายไป และชีวิตใมห่ที่แสนงดงามปรากฏตัวขึ้นแทนที่ ผีเสื้อแสนสวยนั่นเอง

"มองดูสีเขียวที่ปีกของผีเสื้อนั่นสิ สวยกว่าสีของพวกเรามากมายนัก"
ใบไม้แก่ๆ พากันชื่นชม

ผีเสื้อแสนสวยคลี่ปีกออกเผยให้เห็น รูปใบไม้เล็กๆ สีเขียวสดใสที่ใช้กลางปีก
ก่อนจะบินร่อนไปท่ามกลางมวลดอกไม้ และพาความฝันใฝ่ของใบไม้เล็กๆ ออกโบยบิน

: - จากตอน บินไปตามใจฝัน


ไข่เต่าใบกลมๆ และอ่อนนิ่มถูกวางอยู่ใกล้ๆ กับไข่ไก่
ไข่ไก่เปลือกแข็งกลิ้งมากระทบไข่เต่าครั้งแล้วครั้งเล่าจนลูกเต่าตื่น
มันนึกในใจว่า โลกภายนอกคงแข็งกระด้างและอาจมีสิ่งที่เป็นอันตรายรอคอยอยู่
ด้วยความหวาดวิตก ลูกเต่าจึงค่อยๆ สร้างกระดองแข็งแรง
หอหุ้มตัวเองเอาใว้ให้ปลอดภัยอยู่ภายใต้ความอ่อนนุ่มของเปลือกไข่เต่า

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลูกไก่นอนหลับสบายอยู่ภายใต้เปลือกที่แข็งแรง
ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆจากภายนอก สร้างเพียงขนปุยอ่อนนุ่ม
ห่อหุ้มตัวเองอยู่ภายในเปลือกไข่

เมื่อถึงเวลาที่ไข่ทั้งสองใบฟักออกมาเป็นตัว

ใบหนึ่งกาลยเป็นลูกเต่า ผู้ออกเดินทางสู่ท้องทพเลกว้าง
พร้อมด้วยกระดองแข็งแรงที่เป็นทั้งบ้าน และ เกาะป้องกันภัย

อีกใบกลายเป็นลูกไก่ขนฟูอ่อนนุ่มวิ่งสู้อ้อมกอดแม้
เพื่อให้คอยดูแลหาอาหาร และป้องกันผองภัย

ลูกเต่า มีวิถีชีวิตตามแบบของเต่า
ส่วนลูกไก่ก็มีวิถีชีวิตตามแบบของไก่
และต่างก็อยู่อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกันอย่างมีความสุขตามแบบของตัวเอง

:- จากตอน เนิ่นนานในกาลเวลา



นี่คือตัวอย่างของเรื่องเล่าแบบ รักษิตา นักเขียนที่ฉันชื่นชอบ
สายตาของการมองโลกของเธอ สวยงาม ละเมียดละไม
เต็มไปด้วยจินตนาการที่ไร้เดียงสา


Saturday, July 16, 2005

Ray : ดนตรีนั้นคือชีวิต


นี่คือหนังประวัติของนักดนตรีดัง เรย์ ชาร์ล โรบินสัน

หนังไม่ได้บอกว่า อะไรเป็นสาเหตุของการ ตาบอด ตั้งแต่เด็กของเรย์
เพียงแต่เห็นว่า จู่ๆ ตาเขาก็มีปัญหา แล้วตาก็บอด
และจู่ๆ หูเขาก็ได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจน
ดังที่ เรย์บอกว่า เขาให้หูแทนดวงตา ดูเหมือนทุกอย่างมันคือ ปาฏิหารย์
พระเจ้าได้ทดแทนสิ่งหนึ่งให้สำหรับการที่เอาสิ่งหนึ่งไปจากเขา

เรย์ เชื่อว่าเขาเป็นสาเหตุของการ สูญเสีย ยอร์จ น้องชาย
และ ปัญหานี้ดูเหมือนจะเป็น ปม ที่ติดในใจของเรย์ไปเรื่อยๆ
สร้างความเศร้า โดดเดี่ยวในโลกมืดให้แก่เขา เป็นเวลาอันยาวนาน

หนังแสดง มิติของตัว เรย์ ได้น่าสนใจมาก
เราจะเห็นใจเรย์ แต่ไม่ถึงกับสงสาร
เราพอจะเข้าใจการกระทำหลายๆ อย่างของเรย์
แต่เราก็ไม่ได้ถึงกับเอาใจช่วยตลอดเวลา
เราอาจจะชื่นชมเรย์ และไม่ถึงกับเทิดทูน
เพราะเรย์ไม่ได้เก่งและดี สมบูณณ์แบบ
เราจึงเห็นทั้งข้อดี ข้อด้อย สิ่งควรชม และข้อควรติ

นี่ยังไม่นับรวมความดีของหนังอีกเรื่องนั้นคือดนตรีประกอบ
ไพเราะ น่าฟัง จนเราอาจจะติดใจ ตามหาผลงานของเรย์มาฟัง

Hotel Rwanda : ความจริงของคนธรรมดา


Life is beautiful อาจจะเป็นหนังที่หลายคนชอบ
แต่ ฉันถึงขั้นที่ไม่สามารถนั่งทนดูให้จบได้
ฉันรู้สึกว่า ตัวเอก เห็นแก่ตัว เห็นแก่ลูกตัวเอง เกินกว่าที่ฉันจะชื่นชม
ฉันพยายามถามตัวเองว่า ฉันตัดสินผิดพลาดหรือไม่ มองด้วยสายตาคนนอกเกินไปหรือไม่
หากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับตัวเอก ฉันเลือกจะทำแบบนั้นหรือเปล่า
ฉันไม่สามารถจะตอบคำถามได้มากนัก จนฉันได้ดูหนังเรื่องนี้
Hotel Rwanda ฉันรู้สึกว่าคำตอบของฉันอยู่ที่พระเอกเรื่องนี้

พอล ผู้จัดการโรงแรมในเครือข่ายโรงแรมที่มีชื่อเสียงจากประเทศเบลเยี่ยม
ซึ่งเปิดสาขาอยู่ในประเทศ รวันดา ประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ประเทศที่เบลเยี่ยมทิ้งความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าพันธุ์
และเมื่อถึงเวลา ระเบิดแห่งความขัดแย้ง ก็ประทุขึ้น อย่างรุนแรง

พอล คือคนชั้นกลางที่เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตจริงๆ
พอล พยายามสร้างคอนเนคชันกับนักการเมือง ผู้มีอำนาจ
พยายามทำในสิ่งที่เขาเองไม่ได้ชื่มชมมากนัก ทั้งหมดเพื่อการงาน และครอบครัว
แต่พอล ก็ไม่ได้พยายามเอาเปรียบใคร ถึงขั้นไร้น้ำใจ
และแม้จะรักตัวเองและครอบครัว แต่เขาก็ไม่เห็นแก่ตัว

ฉันเชื่อว่า คนธรรมดาที่เป็นคนดีจะเลือกแบบพอล
ในสถานการณ์แบบนั้น

วันที่เพื่อนบ้านโดยอำนาจเถื่อนทำร้าย
พอลมองด้วยแววตาเห็นใจ ลำบากใจ ลังเล
เพราะมันหมายถึงปัญหาที่จะตามมาถึงตัว และเขาก็เลือกไม่ช่วย
แต่เมื่อปัญหามามาถึงขั้นที่ไม่มีทางเลือก
มีผู้คนมากมายหนีตายมาพึงพาเขาในโรงแรม
พอลก็ทำทุกอย่างในแบบที่ควรจะทำ และพยายามทำให้ดีที่สุด

เราจะเห็นความสับสน ความลังเล
ความจริงใจ ความเสแสร้าง
การพยายามเอาตัวรอด ความมีน้ำใจ
และอีกหลายๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวพอล
ตัวละครนี่น่าสนใจมากๆ
ฉันเชื่อว่า คนแบบพอล หาเจอได้ทั่วไป

ฉันยังเชื่ออีกว่า
ปัญหา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
ประเทศที่ไร้ค่าในสายตามหาอำนาจ
คงไม่ใช่ที่ประเทศสุดท้ายที่จะเจอปัญหานี้

แต่ฉันก็ยังหวังว่า
เราจะสามารถหาวิธีป้องกันและแก้ไขมันให้ได้เสียที

ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง

The motorcycle diaries : พเนจร ของ เช


ช่างน่ายินดีกระไรหนอที่ข้าพเจ้าจะได้ข้ามเส้นแบ่งกันพรมแดน
มนุษย์ผู้พเนจรได้กลับเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ไปในหลายด้าน
เช่นเดียวกับชาวเหล่าผู้เลี้ยงสัตว์ซึ่งเร่รอนไปเรื่อยๆ เช่นชาวเบดูอิน
มีความดึกดำบรรพ์มากกว่าชาวนา หรือผู้ปักหลักแห่ง โอเอซิส
หากคนจำนวนมากเกลียดชังพรมแดนเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้าแล้ว
สงครามและพันธนาการทั้งหลายแหล่คงจะต้องปลาสนาไป

ข้าพเจ้าได้สูญเสียเวลาไปตั้งครึ่งค่อนชีวิต
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเป็นในสื่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็น
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเป็นทั้งกวีและชนชั้นกลางในเวลาเดียวกัน
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเป็นศิลปินและมนุษญ์แห่งความเพ้อฝัน
แต่ข้าพเจ้าก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนที่อยู่กับเหย้ากับเรือน
มันเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน จนกระทั่งข้าพเจ้าตระหนักว่า
มนุษย์ไม่สามารถเป็นทั้งสองอย่างหรือมีทั้งสองสิ่ง

ข้าพเจ้าเป็นผู้พเนจร หาใช่ชาวนาไม่
ข้าพเจ้าเป็นผู้แสวงหามิใช่ผู้สะสม

ผู้พเนจรโดยแท้จะต้องไม่ห่วงคิดถึงบ้าน
แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้าไม่ใช่มนุษย์สมบูรณ์เยี่ยงนั้น
และข้าพเจ้าจะไม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความสมบูรณ์อีกด้วย
ข้าพเจ้าใคร่ลิ้มรสของความคิดถึงบ้าน
เช่นเดียวกับข้าพเจ้าได้ลิ้มรสชาดของความเพลิดเพลินใจ


- : จาก พเนจร (The Wanderer) โดย Herman Hessa



ข้อความจากหนังสือพเนจรของ เฮสเสคงนิยามหนังเรื่องนี้
นิยาม หนังสวยๆ บันทึกการเดินทางของ เช กูวารา ได้ดีที่สุด

สำหรับฉัน เช กูวารา จิตร ภูมิศักดิ์ อัศนี พลจันทร์
ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ชื่อคนเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
ซึ่งฉันเองยังไม่ค่อยเข้าใจ และตั้งข้อสงสัยร้ายๆว่า คนที่อ้างจะเข้าใจจริงเหรอ
ฉันแค่ตามงานอ่านของ นายผี บ้าง คนอาจจะพูดถึงจิตรให้ฟังบ่อยๆ
และฉันก็เห็นภาพเช ตามเสื้อยึดได้ทั่วไป - ก็เท่านั้น

เหตุผลที่ฉันอยากดูหนังเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์สวยหรูอะไรแน่ๆ
ฉันอยากดูภาพ ฉันอยากท่องเที่ยวในประเทศเหล่านี้ - ก็เท่านั้น
ส่วนเนื่อเรื่องนะเหรอ ฉันสัมผัสได้แผ่วเบาเหลือเกิน

แม้หนังจะออกตัวมาแต่ต้นว่า นี่ไม่ใช่หนังเชิดชูวีระบุรุษ
เป็นเพียงหนังที่เกี่ยวกับบันทึกการเดินทางของ คน คนหนึ่ง
แต่คงเนื่องด้วย นี่คือบันทึกการเดินทางบนมอเตอร์ไซน์
มันเลยเป็นบันทึกฉบับขับรถผ่าน
ส่วนรายละเอียด ต้องไปอ่านรายเลียดกันเอาเอง
อาทิ เช กูวารา นักรบโรแมนติค - อันนี้คงจะเดินแล้วแหละ

closer - ไม้เลื้อย เจอไม้เลื้อย จึงพันกันนัวเนีย



หนังเรื่องนี้ประกอบด้วยตัวละครหลัก 4 ตัวนั่นคือ
แอนนา ช่างภาพสาวสวย คนอเมริกัน ซึ่งแสดงโดย Julia Roberts
อลิซ นักเต้นเปลื้องผ้า คนอเมริกัน แสดงโดย Natalie Portman
แดน นักเขียน คอลัมนิสต์ คนอังกฤษ แสดงโดย Jude Law
และ แลรี่ หมอโรคผิวหนัง คนอังกฤษ แสดงโดย Clive Owen

4 ตัวละครจะจับคู่ได้สักกี่แบบ
แอนนากับแลรี่ อลิซกับแดน แอนนากับแดน
อลิซกับแลรี่ แอนนากับอลิซ แลรี่กับแดน
หนังเรื่องนี้เลือกโลภมากจับคู่ไป 4 แบบครึ่ง ครึ่งที่ว่าคือ แดนเล่นเซ็กส์เชทกับแลรี่
นั้นคือ 75 เปอร์เซ็นต์เลยแหละ ตีคลุมแบบสุดๆ

ลองมาพูดคุยกับเขาเหล่านั้นดู

ผู้สื่อข่าว : ตกลงคุณรักใครกันแน่ แอนนา
แอนนา : ฉันรักคนแปลกหน้าคะ ค้วยอาชีพช่างภาพอย่างฉัน ฉันสัมผัสคนได้ทันทีที่พบ
ผู้สื่อข่าว : งั้นคุณก็พร้อมจะตกหลุมรักได้เรื่อยๆ
แอนนา : ฉันเองก็ไม่รู้ ได้แต่หวังว่าจะไม่ หรือคุณรู้
ผู้สื่อข่าว : คงไม่ ตอนนี้คุณมีความสุขหรือเปล่า
แอนนา : ฉันเหนื่อย

ผู้สื่อข่าว : แล้วคุณละ แดน รักใคร
แดน : ผมเองก็ไม่รู้ใจตัวเองมากนัก ตอนนี้ผมรักตัวเอง
ผู้สื่อข่าว : เหมือนคุณมีปมในอดีต
แดน : ทุกคนต้องมีอดีต คุณก็มี หากคุณจะเรียกปัญหาในอดีตว่าปม คุณก็มีปม

ผู้สื่อข่าว : แล้วคุณละ อลิซ วิ่งหนีอะไร
อลิซ : เมื่อหมดรัก ฉันก็จบ ไม่เคยหนี
ผู้สื่อข่าว : มันจะซ้ำรอยเดิมเรื่อยๆ หรือเปล่า
อลิซ : ฉันเชื่อว่า ต้องมีรักแท้อยู่บนโลกนี้
ผู้สื่อข่าว : แต่คุณยังไม่เจอ
อลิซ : รักทุกครั้งของฉันคือรักแท้ แม้ไม่ยืนยง
ผู้สื่อข่าว : แล้วอะไรทำให้รักแท้คุณไม่ยืนยง
อลิซ : ถามแดนดูดีกว่า

ผู้สื่อข่าว : แลรี่ ดูเหมือนคุณไม่เกิดเลือกวิธีการ ขอแค่เป็นผู้ชนะ
แลรี่ : ผมแค่อยากได้ในสิ่งที่ผมรัก และเชื่อว่าผมดีพอ
ผู้สื่อข่าว : แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้รักคุณ
แลรี่ : ความรัก เกิดขึ้น และก็จบลงได้
ผู้สื่อข่าว : ผู้ชนะ ก็ย่อมพ่ายแพ้ในสักวัน
แลรี่ : ผมจะผลักใสเวลานั้นออกไปให้นานที่สุด

ผู้สื่อข่าว : คำถามสุดท้ายสำหรับทุกคน พวกคุณยังมองตากันได้สนิทใจไหม
อลิซ : อยากได้คำตอบบแบบไหนละ
แลรี่ : ผมชอบมองตา เพราะผมชอบความจริง
แอนนา : ไม่คะ
แดน : ผมชอบหลับตา

Friday, July 15, 2005

โลกมายา : คนแบบฉัน


หากเพื่อนร่วมงานบอกว่า งานฉันผิดพลาด
ฉันจะพูดทันทีว่า ไม่จริง พร้อมกับหาเหตุผลมารองรับ
คำว่า ฉันทำผิด ไม่มีทางออกจากปากฉันเด็ดขาด
เพราะคำว่า ฉันผิด แปลว่า ฉันโง่ ฉันไม่เก่งจริง

หากเห็นงานคนอื่นผิดพลาด ฉันพร้อมจะเดินไปบอกเขา
ทั้งๆ ที่มันเล็กน้อย และฉันก็แก้ไขได้ง่ายๆ
เพื่อตอกย้ำว่า ฉันเก่ง ฉันรอบคอบ ฉันเจ๋ง

ฉันพร้อมจะมองว่า คนอื่นไม่ดี คนอื่นไม่เก่ง
มีฉันเท่านั้น ที่ตั้งใจทำงาน มีประสบการณ์เยอะ

ในวงประชุม ฉันพร้อมจะพูดออกตัว กันงานไม่แสดงฝีมือออกไป
พร้อมจะเสนอความเห็นกับทุกๆ เรื่อง ทั้งที่ฉันไม่ได้รู้อะไรมากนัก
ฉันต้อง สร้างความสำคัญให้กับตัวเอง

งานส่วนใหญ่ของฉันคือ การพูด ทั้งพูดถึงตัวเองในแง่ดีๆ และพูดถึงคนอื่นในแง่ร้ายๆ
หากลูกค้าพูดไม่ดี ฉันก็จะไม่ประนีประนอม เพราะฉันสร้างเหตุผลของการทะเลาะได้
และฉันก็พร้อมจะเดินออกจากงานนั้น หันไปทำงานอื่นที่เขาฟังฉัน อย่าหวังว่าฉันจะฟังคนอื่น

ฉันทะเยอทะยาน ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของบริษัท
และชอบกังวลในส่วนที่ไม่ใช่หน้าที่หลักของฉัน

และฉันเป็นคน เรื่องมาก มีปัญหากับทุกๆเรื่อง
สัมมคารวะ มีใว้สำหรับคนที่ฉันหวังผลประโยชณ์เท่านั้น



ฉันเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าฟะ !


ช่วงนี้ฉันถามตัวเองแบบนี้บ่อยขึ้นทุกที
เพราะพักหลังฉันได้มีโอกาสร่วมงานกับ
คนที่ถูกสร้างมาจากพิมพ์แบบเดียวกัน
พิมพ์ใครๆ ก็หวังว่า มันน่าจะดีที่สุดในสายอาชีพนี้

ฉันควรจะเสียใจให้กับอะไรดี
เสียใจที่พิมพ์สร้างแต่คนแบบฉัน
หรือเสียใจที่ฉันไม่ได้ดั่งพิมพ์


วันนี้
รุ่นใหม่กำลังเฉลิมฉลองการออกจากพิมพ์
และ ฉันกำลังเศร้า

Thursday, July 14, 2005

โลกมายา : บันทึก เรื่อยเปื่อย ของคนป่วยเรื่อยๆ

ย้อนไปหนึ่งวัน - เมื่อวานนั่นแหละ

ผู้บริหารโครงการ เพิ่งกลับมาจากอินเดีย
เดินเข้ามาถามว่า งานไปถึงไหนแล้ว เสร็จแค่ไหนแล้ว

นายจร้าาา อีฉานนนน ยังไม่ได้เริ่มทำเลยนายยยจร้าาาาา
อิฉานนนนน มัวแต่เล่นอินเตอร์เนรตตตตตตต นะนายจร้าาาาาาา

อันนั้นตอบในใจ เพราะตอบไปอาจโดนถีบ
นายจร้าาาาาาาา คงไม่เข้าใจ เพราะพูดไทยม่ายได้

ความจริงตอบไปว่า all ready
ความหมายตรงตัว คือ มันพร้อมให้ทำแล้วแหละ
ความหมายนัยยะ คือ ขั้นตอนก่อนหน้าฉานเสร็จหมดแล้ว เหลือที่ฉานนนคนเดียว
ความหมายที่ตั้งใจจะสื่อคือ ฉานยังไม่ได้เริ่มทำเลย
อันนี้ เป็นศาสตร์ของ การสร้างภาพ ที่ร่ำเรียนมาจนช่ำชอง

ไม่ต้องสงสัย อะไรหาก นายจร้าาาาาาา
แกจะฝังกะเหรี่ยงผิวคล้ำตัวเตี้ย เป็นอีกอย่าง
เพราะตะแกยิ้มร่า บินกลับอินเดียไปแล้ว
สงสัยจะฟังเป็น already
เฮ้อ หลงเชื่อภาพมายา น่าเศร้า ... อิอิอิ

แล้วฉาน จะเอาอะไรไปส่งนายจร้าาาาาาา นะเนี่ย

ศาสตร์การสร้างภาพขั้นมาสเตอร์ ก็สอนเอาใว้
ฉัน(อันนี้คนไทย พูดชัดๆ) ก็ชวนลูกพี่อีกคน
ไปคุยงานกับลูกพี่กว่าอีกคน ที่ดูแลงานอีกโครงการหนึ่ง
(อย่างง เพราะฉันมีลูกพี่หลายคน แบบนกหลายหัวนะ)

เป็นไง กี่ร้อยล้าน ลูกพี่กว่าถาม
ยิ้มแบบฉลาดๆ ตอบเบาๆ ไม่ได้ใส่ราคาครับ
ความหมายตรงๆ ก็ตามนั้น
ความหมายนัยยะคือ ฉันขี้เกียจสืบราคา
ความหมายที่อยากจะสื่อคือ ฉันไม่ได้ทำ

อือ กั๊กใว้นั่นแหละดีแล้ว ลูกพี่ตอบ
เสร็จไปอีกหนึ่งราย

แล้ว ฉันก็ทำหน้าที่ถามฉลาดๆ ยิ้มซื่อๆ พยักหน้าเข้าใจ
ลูกพี่กว่า ก็อธิบายไปพร้อมเสียงหัวเราะ
เล่ายาวๆ แล้วแกก็ต้องเข้าเรื่องยากๆ

ลูกพี่ จึงเมลล์หา นายจร้าาาาาาา
บอกตะแกว่า งานของฉันมันซับซ้อนกว่าที่คิด
อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คาด
เพราะฉะนั้น งานบางส่วน(ส่วนน้อยๆ) อาจจะเสร็จศุกร์หน้า
เสร็จไปอีกราย


แต่ละวัน ฉานนนนนนนน เหนื่อยนะเนี่ย
สร้างงานน้อยๆ สร้างภาพเยอะๆ รับรอง เจริญญญญญญญ


เอ้า ยาวซะแล้ว ยังไม่ได้เขียนเรื่องหนังที่ดูเมื่อคืนเลย
เรื่อง Closer กับ เรื่อง เช กูว่า(แล้ว)
พอแค่นี้ก่อน ต้องไปสร้างภาพต่อ




นั่นคือนิยาย อย่าคิดว่าจริงเชียวนะ








ต้องจบแบบนี้ สร้างภาพขั้น ด๊อกเตอร์

Wednesday, July 13, 2005

Eternal Sunshine of the spotless mind - เธอลืมเธอ ฉันลืมฉัน เราลืมกัน

ที่มาของเรื่องราว

โจเอลและ ครีเมนไทน์ คู่รักที่ดูไม่มีอนาคต
สิ่งที่เธอเคยชอบในตัวเขา กลายเป็นความน่าเบื่อ
สิ่งที่เขารู้สึกประทับใจในตัวเธอ กลายเป็นความน่าชัง
ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อย หรือใหญ่โต
ทั้งสองพร้อมจะมีปากเสียง และโต้เถียงกันได้ตลอดเวลา
เขาและเธอผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสุขมาแล้ว
สิ่งที่เป็นอยู่ คือ รอเวลา เพื่อบอกลาความสัมพันธ์

และเมื่อวันนั้นมาถึง เธอ เลือกบอกลาแบบสุดโต่ง
เธอเดินไปหาหมอ เพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับโจเอลทั้งหมดที่เธอมี
เพื่อในชีวิต และความคิดของเธอ จะไม่มีผู้ชายคนนี้อีกต่อไป

เมื่อโจเอล รับรู้เรื่องราว ยิ่งตอกยำความรู้สึกผิดหวัง
เขาจึงเลือกจบปัญหาแบบเดียวกันกับเธอ
ลบความทรงจำทั้งหมด เกี่ยวกับ ครีเมนไทน์ ที่เขามี

เมื่อเธอและเขาไม่มีกันและกันในความทรงจำ
ทั้งสองก็คือคนใหม่ พร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับคนใหม่
เธอตกหลุมรักคนใหม่ ทันทีที่เห็น เขาประทับใจคนใหม่ ทันทีที่เจอ

คนใหม่ของเธอ คือ เขา และ
คนใหม่ของเขา คือ เธอ นั่นเอง


- - - - - - - -

เสียงนก เสียงกา (หรูๆคือ Bird eyes view )

เสียงกา "ฉันว่าคนทำหนังเรื่องนี้ต้องชอบเรื่องมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ เขาเคยทำหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมาหรือเปล่านะ"
เสียงนก "บินสูงๆ หน่อยเพื่อน จะได้มองอะไรกว้างๆ เดี่ยวนี้พวกมนุษย์เขาศึกษาเรื่องสมองเยอะนะ ศาสตร์นิวโร ทั้งหลายนะ เรื่องการลบความทรงจำ อาจจะเป็นจริงแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้"

เสียงกา "คุณนกกระจอกครับ ไม่ต้องมาประชด อธิบายดีๆ ก็ได้ ฉันก็ยังเชื่อว่า คนทำเขามีคำตอบใว้ในใจ แล้วทำมาตั้งคำถามว่า ผู้มีความสุขคือคนที่รู้จักลืม พร้อมยกตัวอย่างแบบสุดโต่ง
เพื่อให้คนดูคล้อยตาม นกฉลาดๆอย่างฉันไม่เชื่อง่ายๆหรอก"
เสียงนก "ฉันกลับรู้สึกว่า หนังเขาอยากจะบอกว่า ความรักอยู่เหนือเหตุและผล มันคือความรู้สึก ไม่ใช่สมอง ความทรงจำไม่ว่าทั้งดีและร้าย มันก็เป็นเรื่องราวที่ประกอบกัน ให้เรามาถึงวันนี้"

เสียงกา "ฉันว่า เราไปไม่ถึงไหน ต่างหาก ดูอย่างพระเอก กับนางเอกสิ ฉันว่าไม่พ้นอีกหรอบเดิม ตัวตนของคนเรานะ มันเปลี่ยนกันยาก ไม่ต้องไปหาหมอ มนุษย์ก็พร้อมจะลืมนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง"
เสียงนก "เขาอาจจะรักกัน เพราะด้านแย่ๆ ก็ได้ ฉันดูเรื่องนี้แล้ว นึกถึง ยายตัวร้ายใน my sassy girl"


เสียงกา "ยังติดใจกับเรื่อง รักแบบตะวันตก ตะวันออกอยู่มั้ง ฉันว่าถ้าพระเอกใน ยายตัวร้าย นิสัยแบบ โจเอล รับรอง พัง"
เสียงนก "อืม คงทำนองนั้น เพราะฉะนั้นฉันคงเหมาะกับการดูหนังรักตะวันออกเนอะ เพราะฉัน นกกระจอก มิใช่ นกอินทรีย์"


เสียงกา "ฉันกลับไปนึกถึง 50 นัดแรก ที่พี่ อดัม เล่นใว้นะ หนังมันน่ารื่นรมณ์ดี ส่วนอีกเรื่องก็ Momento เพราะรูปแบบการเล่าเรื่อง "
เสียงนก "อือ หนังเรื่องจำๆ ลืมๆ รักๆ เลิกๆ คงมีให้ดู ให้ชม และให้ติ ไปอีกนาน และฉันชอบดูเสียงด้วยสิ"

เสียงกา "เหมือนกัน แม้อาจไม่ชอบหลังจากดู แต่ฉันก็ยังชอบดู "
เสียงนก "ha ha ว่างมากนะสิ "

Monday, July 11, 2005

โลกภาพยนตร์ : City of God - หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว





กาเบรียล การ์เซีย มาร์เควซ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ปี 1982
เคยกล่าวใว้ว่า "ศาสตราจารย์ทางวรรณกรรมในคิวบาบอกว่า
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เป็นหนังสือเล่มพิเศษ
แต่มันมีจุดอ่อนที่ไม่ได้เสนอทางออก สำหรับผม นั่นคือ
หลักเกณฑ์ที่ไร้เหตุผล หนังสือของผมอธิบายสถานการณ์
มันไม่จำเป็นต้องเสนอทางออก ผมต้องการเสนอความคิดว่า
ประวัติศาสตร์ละตินอเมริกามีสิ่งนี่อยู่"

ฉันไม่แน่ใจว่า ผู้กำกับ City of God จะคิดแบบเดียวกับ มาร์เควซหรือไม่
หากใครบอกว่า หนังของคุณเป็นหนังพิเศษ แต่มันมีจุดอ่อนที่ไม่ได้เสนอทางออก

ผู้กำกับบอกว่า City of god ถูกสร้างมาจากพื้นของเรื่องจริง
เรื่องจริงของ เมืองใหม่ ที่นำชาวชุมชนแออัด(ในสำนวนสวยงามแบบไทยๆ)
หรือชาวสลัม (ในภาษาที่ทุกคนพร้อมจะเข้าใจ) นำเขาเหล่านั้นย้ายไปรวมอยู่ด้วยกัน
ณ.สถานที่หนึ่ง ที่ถูกตั้งชื่อสวยงามว่า เมืองของพระเจ้า
ฟังถึงตรงนี้คุณอาจจะคุ้นๆ แนวความคิดแบบนี้
เพราะมันก็เกิดขึ้นในประเทศโลกที่สามเหมือนๆ กัน ไม่ยกเว้นประเทศเรา

สถาพความเป็นจริงของ เมืองของพระเจ้า มันคือ City off god เมืองขาด พระเจ้า ! (อุทานดังๆ )
เพราะมันขาดไปเสียทุกอย่าง ไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค
แต่มันหมายรวมไปถึงโอกาส และความปลอดภัยในชีวิต
ปูเรื่อง มาแค่นี้ คุณอาจจะเดาเรื่องต่อไปได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

อาชญากรรม ยาเสพติด อันธพาล การปล้น การฆ่า
สารพัดที่คุณจะนึกออกถึงด้านร้ายๆ ที่แม้เต่คุณก็ไม่อยากเจอ
แต่แน่นอน มันต้องเกิดขึ้น ณ. เมืองของพระเจ้า

ฉันไม่รู้จะเล่าอะไรให้คุณฟังได้มากกว่านี้
เพราะเนื้อหาที่เหลือทั้งหมด มันคือ เรื่องของ คน
คนดีในคราบคนเลว คนเลวในคราบคนดี คนที่ไม่มีทางเลือก
คนมีทางแต่ไม่เลือก คนที่พยายามหนีออกจากเมืองของพระเจ้า
หรือ แม้กระทั่งคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเมืองของพระเจ้า

แม้คุณจะรู้สึกว่า คุณอาจจะคาดเดาหนังเรื่องนี้ได้เกือบทั้งเรื่อง
แต่ฉันก็ยังแนะนำให้คุณหาโอกาสดูหนังเรื่องนี้
เหมือนกับที่ฉันอยากเชิญชวนให้คุณหาเวลาอ่านหนังสือ
เรื่อง หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว

แม้หนังและหนังสือจะไม่ได้เสนอทางออก
เพื่อทำให้คุณมีความหวัง ดีๆ
แต่พลังของเรื่องเล่าแบบนี้ มันไม่ธรรมดา แน่นอน




Sunday, July 10, 2005

โลกภาพยนตร์ : ด้วยรักและผูกพันธ์ หรือ ยึดติด




- - 1 - -

ภาพยนตร์เรื่อง Be with you ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในบ้านเรา
เพราะยืนโรงฉายที่ลิโด้เป็นเวลานาน

ภาพยนตร์รักโรแมนติคจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง
ที่ประกอบไปด้วยยูอิจิ ลูกชาย ผู้น่ารัก วัยหก ขวบ
ทาคุมิ สามี อดีตนักวิ่งลมกรดที่มีอาการเจ็บ
จนต้องเลิกวิ่งแล้วพลอยเรียนไม่จบ มหาวิทยาลัย
และ มิโอะ ภรรยาที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปในขณะที่มีอายุเพียง 28 ปี
แล้วให้สัญญากับสามีและลูกใว้ว่า ในฤดูฝนปีถัดไป
เธอจะกลับมาหาเขาทั้งสอง และจะจากไปเมื่อฤดูฝนสิ้นสุดลง

เมื่อฤดูฝนมาถึง มิโอะก็กลับมาจริงๆ
แต่เธอไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับ ทาคุมิ และยูจิ เลย

ความสัมพันธ์ครั้งใหม่จึงก่อตัวขึ้น
ภายในระยะเวลาเพียงแค่ หนึ่งฤดูฝน

หนังน่ารัก มีทั้งหัวเราะ และ เรียกน้ำตา
เกือบตลอดเวลาที่ดูหนัง ฉันเองรู้สึกแบบนี้
แค่มีบ้างช่วงที่ฉันเกิดคำถามบางอย่างในใจ

ฉันสงสัยว่า
หากมิโอะ ผู้เป็นภรรยาไม่กลับมาจริงตามที่สัญญาใว้
ชีวิตของทาคุมิ ผู้เป็นสามี และ ยูจิ ลูกชาย จะดำเนินไปอย่างไร
จะเศร้า รอคอยอย่างสิ้นหวัง ไม่ยอมเปิดใจรับใครใหม่ อย่างนั้นหรือ

และยิ่งไปกว่านั้น หากมิโอะไม่ได้กลับมา
แค่ทาคุมิ และ ยูจิ ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือน มิโอะ
เรื่องราวมันจะดำเนินต่อไปอย่างไร

ทั้งทาคุมิ และ ยูจิ จะคิดว่านั้นคือ มิโอะ ไหม
ทาคุมิ และ ยูจิ จะหลุมตกรักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า
แล้ว การรักใครสักคน มันสำคัญแค่ หน้าตาเหมือนคนที่เคยรักกระนั้นหรือ

ฉันยังสงสัยต่อไปอีกว่า
หาก มิโอะ ที่กลับมานั้น ไม่ได้มาในรูปร่างหน้าตาแบบเดิม
อาจจะเป็นผู้หญิงหน้าตาอีกแบบ นก หนู ไก่ กา
หรือ เป็นผู้ชายด้วยกัน ชีวิตของ ทาคุมิ และ ยูจิ จะดำเนินไปอย่างไร


ฉันยังไม่มีคำตอบ







- - 2 - -


ภาพยนตร์เรื่อง Birth นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน ในบทของแอนนา
หญิงสาวที่เสียสามี ไปอย่างกระทันหัน เธอใช้เวลา 10 ปีเพื่อทำใจ ให้พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่
กับผู้ชายอีกคนที่ดูแล และเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี

ในวันที่เธอกำลังจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนใหม่
มีเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบ มาปรากฏตัว พร้อมกับบอกทุกๆคนว่า
เขาคือ ฌอน สามีของแอนนา ที่เสียชีวิตไปแล้ว

แน่นอน แอนนา และใครๆ ก็ย่อมไม่เชื่อ
แต่เมื่อรายละเอียดเล็กๆ ของความสัมพันธ์ระหว่าง แอนนา และ ฌอน
ถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ จากปากของ เด็กชาย ฌอน
มันก็เริ่มทำให้ทุกคนหวั่นไหวได้
และคนที่หวั่นไหวมากที่สุด คือ แอนนา นั่นเอง

ระหว่างที่ดูหนังสือนี้ ฉันก็เกิดคำถามขึ้นมากมาย
แอนนากำลังรักอะไรกันแน่
รักเด็กชายฌอน เนื่องจากนี่คือ สามีที่มาเกิดใหม่
รัก ความทรงจำเก่าๆ ของ เธอกับฌอน
หรือ ยังรัก ฌอน คนเดิม เพียงแค่หาใครสักเป็นตัวแทน

ถ้าเด็กชาย ฌอน กำลังหลอกเธอละ
ถ้าวันหนึ่งเธอรู้ว่า ความทรงจำที่เธอมี มันจอมปลอมละ
ถ้าไม่มี ตัวแทน ของฌอน ให้เธอยึดเป็นหลักละ
ชีวิตของเธอจะดำเนินไปอย่างไร


ฉันยังไม่มีคำตอบ



- - 3 - -


หลังจากดูหนังทั้งสองเรื่อง ประเด็นหนึ่งฉันพยายามหาคำตอบก็คือ
ความแตกต่างของคำว่า ผูกพันธ์ และ ยึดติด

แน่นอนว่า เรื่องความรัก เป็นเรื่องนามธรรม คงจะอธิบายยาก
และฉันก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากมายนัก
ฉันแค่พยายามสร้างภาพของ คำว่าผูกพันธ์และคำว่ายึดติด
เพื่อประกอบข้อสงสัยของฉัน

เราผูกพันธ์กับ บ้านเก่า โรงเรียนเก่า เพื่อนเก่า อะไรเก่าๆ ทั้งหลายของเรา
แต่เมื่อเราจำเป็นต้องย้าย ต้องจบการศึกษา ต้องจากกันไปตามทาง
หรือ สิ่งเหล่า นั้นหมดอายุขัย
เราก็ไม่ได้คิดว่า ต้องยกบ้านเก่ามาด้วย เราจะไม่ยอมเรียนให้จบ
เราไม่มีวันคบเพื่อนใหม่ หรือ เราต้องตามหาของเก่าๆ กลับมาให้จงได้
เพราะเราไม่ได้ ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น กระมั้ง

การยึดติดมีที่มาจากความผูกพันธุ์ เสมอไปหรือไม่
จริงหรือที่เราจะยึดติดกับสิ่งที่เคยผูกพันธ์

ถึงฉันจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนมากนัก
แต่ฉันเชื่อว่า ทุกๆครั้งที่ฉันตั้งคำถาม
คำตอบรางๆ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ยิ่งฉันฝึกตั้งคำถามบ่อยๆ ระบบวิธิคิด การเท่าทันทางอารมณ์อาจจะแข็งแรงขึ้น
เหมือนร่างกายที่ต้องออกกำลังกาย พร้อมๆ กับรับประทานอาหารที่มีประโยชณ์
สมองที่แข็งแรงก็ต้องออกกำลังด้วยการคิด พร้อมๆ กับรับข้อมูลดีๆ
จาก การอ่านหนังสือดีๆ การดูหนังดีๆ การฟังเพลงดีๆ หรือ อยู่ใกบ้คนดีๆ
ฉันเชื่ออย่างนี้


แล้วคุณละ คิดแบบไหน
ทาคุมิ ผูกพันธ์ หรือ ยึดติด กับมิโอะ
แอนนา ผูกพันธ์ หรือ ยึดติด กับฌอน

หากคุณมีโอกาสได้ดูหนังสักเรื่อง เคยสงสัยไหมว่า
ถ้าไม่เป็นเช่นในหนัง แล้ว ...

โลกคือละคร : หาปลา กลางสีลม



"จงสอนเขาหาปลา แทนที่จะนำปลาไปให้"

ฉันจำไม่ได้ว่าได้ยินประโยคทำนองนี้ครั้งแรกเมื่อไหร่
ฉันจำไม่ได้ว่าได้ยินประโยคทำนองนี้บ่อยแค่ไหน

ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่า
ประโยคข้างต้นสวยงามเกินทำได้เกินไปหรือเปล่า


"แปดบาทครับยาย"
พนักงานตอบด้วยไปหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีแววโกรธกริ้วในดวงตา
"ปกติยายเคยซื้อแค่ หกบาทเอง"
ยายพูดด้วยน้ำเสียงของความไม่แน่ใจ
พร้อมกับชะงักไปชั่วครู่ เพราะเตรียมเงินใว้ในมือแค่หกบาท
"ที่นี้ขายแปดบาทครับยาย"
พนักงานยังมีท่าทีเป็นกันเองเหมือนเดิม
"ยายเคยซื้อหกบาท"
ยายคงแค่อยากบอกตัวเอง ไม่ได้ต้องการโต้เถียงพนักงาน
ยายช่างใจอีกชัวครู่ ก่อนจะความหาเงินในกระเป๋า

ฉันยืนมอง บทละครแห่งชีวิตจริง ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ยายสวมเสื้อผ้าเก่าๆ สีมอๆ ซึ่งคงผ่านอะไรมามากเหมือนคนใส่
และแน่นอนว่า อะไรๆ ที่ผ่านมานั้นมันคงไม่ได้ผ่านมันมา
แบบสวยงามและง่ายดายทั้งคนใส่และเสื้อผ้า

ฉันเริ่มคิดไปเองว่า
วันนี้ยายอาจจะหาเงินได้มากกว่าที่จำเป็นจริงๆ
(ฉันไม่มีวันใช้คำว่า หาเงินได้มากกว่าความต้องการ
เพราะภาพที่เห็นฉันไม่เชื่อว่า ยาย จะเลือกแบบนั้นได้)
หาได้เกินมา 6 บาท และยายอยากให้รางวัลกับชีวิต
ด้วยการซื้อไวตามิลล์ กินสักหน่อย

แต่เมื่อต้องมาจ่ายเงินมันกลับเป็น 8 บาท
ยายอาจจะช่างใจว่าจะกินดีหรือเปล่า
และยายก็จำเป็นต้องควักธนบัตรใบละ 20 บาท
ที่ยายอาจจะเตรียมใว้สำหรับซื้อข้าวกินในวันพรุ่งนี้ ออกมาใช้

ฉันยิ่งคิดเกินไปอีกว่า
หากยายยังไม่ทานอะไรเลยละ
แล้วเงิน 6 บาท มันก็แค่พอจะซื้อได้แค่ ไวตามิลล์
ส่วน 20 บาทนั้นเก็บใว้ใช้พรุ่งนี้
เพราะยังไง วันนี้ก็ดึกแล้ว เดี่ยวก็นอน ไม่ต้องกินเยอะ

ฉันกำลังเข้าแถวต่อจากยายเพื่อจ่ายเงินเป็นค่าบัตรเครดิต
มูลค่าที่ต้องจ่าย มันมากกว่า 8 บาท ถึง 2000 เท่า
ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วฉันละ กำลังทำอะไรอยู่
ฉันเอาเงินขนาดนี้ ไปทำอะไร
ทั้งที่ชีวิตของฉันมันก็ไม่ได้ต้องการอะไร ที่มันแตกต่างกับยายเลย
ฉันกำลังปรุงแต่งชีวิตของฉัน ด้วยอะไรกันหรือนี่

ยายต้องการแค่ 8 บาท เพื่อมื้อนี้
แล้วฉันละ มือละสามสีร้อย ฉันจ่ายให้ค่าอะไรกัน




ปกติเส้นทางที่ฉันเดินทางเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า
จะผ่านกลุ่มคนที่นั่งขายพวงมาลัย หรือดอกไม้

ฉันไม่ค่อยได้สังเหตุว่าหน้าตาคนขายเป็นยังไง
ฉันก็เหมือนคนเมืองหลวงส่วนใหญ่ ที่มองคนแบบเหมารวม
ไม่พยายามจะมองแยกแยะ ให้เห็นคน คนนั้นจริงๆ

แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
ฉันก็สังเกตุเห็นว่า ยาย คนในเหตุการณ์นั้น
เป็นหนึ่งในคนขายพวงมาลัย ดังกล่าวนั้นเอง

ฉันพยายามช่วยซื้อดอกจำปีจากยาย
แต่ก็พยายามซื้อ จากคนอื่นๆ ด้วยสลับกันไป
เพราะจำนวนคนขายก็เยอะ เกินกว่าที่ฉันจะซื้อจากทุกๆคน ทุกๆ วัน
ฉันยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้

ในวันนี้ใครบอกฉันว่า
"จงสอนเขาหาปลา แทนที่จะนำปลาไปให้"
ฉันจะเล่าเหตุการณ์นี้ให้เขาฟัง
แล้วจะถามว่า ฉันจะสอนเขาหาปลาได้ยังไง
หาปลากลางถนนสีลม นะเหรอ
ช่วยตอบฉันหน่อย เอาแบบรูปธรรมนะ
เพราะคนอย่างฉัน
ฝันมานานเกินไปแล้ว

Saturday, July 09, 2005

โลกภาพยนตร์ : A Snake of June - งูพิษของจิตมนุษย์


ฉันจะยอมรับตรงๆ เลยว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้จบลง ฉันเบลอๆ งง งง

นิยาม ที่ ลี้น้อย ให้ใว้ ใน GM คือ
หนังอีโรติกที่เล่นกับแรงขับทางเพศ
รินโกะ เป็นสาวสวยที่ปรึกษาทางโทรศัพท์ แต่ครอบครัวเธอไม่อบอุ่น
สามีไม่มีเพศสัมพันธ์กับเธอ จนเธอต้องแอบช่วยตัวเอง
ก่อนจะพบว่า มีใครสักคนแอบถ่ายช่วงเวลานั้นใว้
และเธอต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อแลกกับฟิล์มนั้น

วิจารณ์-ส่งเดช แห่ง Hamberger มีท่าทีชอบหนังคัลต์เรื่องนี้
แม้จะจิกกัดบ้าง แต่ก็เป็นการโต้เถียงแห่งปัญญา
ส่วนนักหนังดูหนัง เพื่อมาเล่าใน pantip ก็พยายามให้ความหมาย
บอกนัยยะ เล่าเรื่องเพิมเติม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพขาวดำ
แล้วมายอมสีฟ้า การใช้ฝน การใช้สัญลักษณ์วงกลม เรื่องโรคร้าย เรื่องหอยทาก
จนสามารถเอาไปทำหนังได้อีกเรื่อง
ในเวทีระดับโลกนั้น หนังเรื่องนี้ก็กวาดรางวัล มาเยอะแยะ

ข้อมูลทั้งหมดนี้ ตามมาหลังจากที่ฉันดูหนังเรื่องนี้จบไปแล้ว

ความสงสัยของฉันตอนดูนะเหรอ ไม่เกี่ยวกับที่ว่ามาเลย

การที่ตัวละครซึ่งตามถ่ายภาพ ชอบต่อว่านางเอกว่า
"คุณชอบบอกให้คนอื่นทำโน้นทำนี่ ทำตามความต้องการที่แท้จริง
แต่ตัวคุณเอง กลับทำอะไรไม่ได้เลย"

แทนที่นางเอกจะคิดว่าถ้าต้องรอให้ชีวิตดีเยี่ยม สมบูรณ์แบบแล้ว
คนๆหนึ่ง สามารถหวังดีกับคนอื่น ให้กำลังใจคนอื่น
โลกนี้คงไม่ต้องมี คำว่า หวังดี เห็นใจคนอื่น อีกต่อไป
นางเอกกลับพาตัวเอง ไปทำตามคำสั่งของ ช่างภาพแอบถ่าย
ภาคแรกของการดูหนัง ฉันรู้สึกว่า ทำไมนางเอก ฉลาดน้อยจัง

แต่เมื่อหนังเริ่มเข้าสู่ภาคที่สองฉันเริ่มรู้สึกต่างออกไป
เธออาจจะหลงรักช่างภาพแอบถ่าย
เธอซึ่งไร้ตัวตนกับสามี แต่ช่างภาพรับรู้ได้ทุกอารมณ์
เธอซึ่งไร้ตัวตนด้วยอาชีพการงาน แต่ช่างภาพรู้ทุกความปรารถนา
เธอซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ คนเยอะๆ ที่ต่างคนต่างแปลกแยก
ความรู้สึกของการมีตัวตนในสายตาใครสักคนจึงสำคัญกับตัวเธอ
หนังแสดงใว้ชัดเจนถึงหลุมในจิตใจเธอข้อนี้
ในเหตุการณ์ที่มีคนที่เธอเคยช่วยให้คำปรึกษาพยายามตามมาเธอ เพื่อจะขอบคุณ
ทำให้เธอระแวง ตกใจ ประหลาดใจ และ ปลื่ม ในท้ายที่สุด
และเมื่อเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดอีกครั้งเธอก็หนีไม่พ้นขั้นตอนเดิม
กลัว ระแวง ประหลาดใจและท้ายที่สุดก็ ปลื้มใจ และกลายเป็นความสุขใจ
แม้ความสัมพันธ์มันจะประหลาด ในสายตาคนดูอย่างฉัน

เมื่อหนังเดินเรื่องมาถึงภาคที่สาม มันกลายเป็นหนังแห่ง สัญลักษณ์ ไปโดยสิ้นเชิง
และ มันก็ทำฉันเบลอๆ ตามที่บอกใว้

ที่ว่ามาทั้งหมด จนถึงตรงนี้ ฉันข้ามประเด็นเรื่องเพศ
เรื่องสัญลักษณ์ต่างๆ ที่คนทำหนังของพยายามใส่ใว้
เพราะฉันเชื่อว่า คนดูหนัง ธรรมดา ที่ไม่ได้หาข้อมูลก่อนเข้าไปดู
คงไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆเหล่านั้น แล้วเข้าใจมันได้ง่ายๆ นักหรอก
ถ้าฉันจะเขียนวงกลม แล้วนึกในใจว่า นี่คือ วัฎฎะ

แต่คนที่เห็นบอกว่า เหรียญบาทที่ยังวาดไม่เสร็จ
ฉันก็ไม่มีสิทธิจะไปต่อว่าเขาแน่นอน

หากฉันจะบอกว่า สารที่หนังเรื่องนี้สื่อกับฉัน
คือความต้องการลึกๆของจิตมนุษย์เหมือนงูพิษ
เราต้องรู้จักควบคุม และดูแลให้ดี ไม่เช่นนั้น มันจะมาแว้งกัดตัวเอง
เหมือนสำนวน หมองูตายเพราะงู

คงไม่มีใครมาบอกว่า ฉันดูหนังไม่เป็น หรอกนะ

Friday, July 08, 2005

โลกแห่งความขัดแย้ง : ภาษาของความรุนแรง


ฉันเลิกตั้งคำถามมานานแล้วว่า
ความรุนแรงแก้ปัญหาได้จริงหรือ ?
ทั้งยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า
เราสามารถนำสันติวิธีมาใช้ไห้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างไร ?
และวันนี้ฉันก็ มีคำถามใหม่มาเสริม
หรือทุกคนจะเข้าใจภาษาแห่งความรุนแรง?

ผู้ส่งภาษาแห่งความรุนแรงอาจจะรู้สึกว่า
ทุกวันนี้กลุ่มผู้มีอานาจปักใจจะเปลี่ยนโลกทั้งใบเป็นแบบตน
ต้องการปรับโครงสร้างทุกสังคมเสียใหม่
ต้องการให้ไปในแนวทางโลกวิสัย ทุนนิยม เสรีนิยมและบริโภคนิยม
โดยกดดันรัฐบาลประเทศที่อ่อนแอกว่าให้ทำตามคำสั่งตน

ผู้ส่งภาษาแห่งความรุนแรงอาจจะรู้สึกหมดหนทาง
เขาจึงเลือกสื่อสาร ผ่านภาษาแห่งความรุนแรง
ภาษาแห่งความกลัว

เมื่อภาษาแห่งความรุนแรงส่งถือผู้รับ
ก็สัมฤทธิ์ผลในฐานะภาษาแห่งแห่งความกลัว

ผู้รับภาษาแห่งความรุนแรงย่อมรู้สึกว่า
ความรุนแรงไม่สามารถทำให้เขายอมรับ
เพื่อหันมาพิจารณาความผิดตัวเอง
ซ้ำยังเชื่ออีกว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถทำให้เขาอ่อนแอ
ความรุนแรงไม่มีวันจะได้รับชัยชนะ
และเมื่อหมดหนทาง เขาก็พร้อมสื่อสารผ่านภาษาแห่งความกลัว
ภาษาแห่งความรุนแรง

ฉันเชื่อว่า
ทั้งสองฝ่ายกำลังเลือกภาษาที่ผิด
เพราะ ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีใครได้อะไรเลย
นอกจากความกลัว

หากคำทักทายในภาษาของความกลัว
ปัง ปัง ปัง หมายถึง สวัสดี
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง มีความหมายว่า ไม่ได้เจอกันซะนาน
ตูม ตูม ตูม อาจจะหมายถึง สบายดีหรือเปล่า
ฉันก็ได้แต่หวังว่า คำอำลา
จะเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม และไม่ทำร้ายกันอีกต่อไป

? ? ? หมายถึง ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง
? ? ? หมายถึง ดูแลตัวเองดีๆ
? ? ? หมายถึง แล้วเจอกันใหม่

Thursday, July 07, 2005

โลกผ่านเลนส์ : โกรกอีดก







"เฟิง ไม่ได้ออกทริปนานแค่ไหนแล้วละ" รุ่นพี่ถาม
รุ่นพี่ ที่ทำหน้าที่เป็นสารถี เป็นคนต้นคิด
หรือเป็นที่มาทั้งหมดของการเดินทางครั้งนี้

ฉันนึกทบทวนอยู่นานมาก
จนคนอื่นๆ ที่นั่งไปด้วยกันเป็นผู้ตอบคำถามแทน
ฉันไม่แน่ใจว่า คำตอบของคนอื่น
ใช่ตรงกับความจริงของฉันหรือเปล่า
หรือ มันนานจนฉันเองก็ลืมไปเหมือนกัน

"เอาเวลาไปทำอะไรหมดเหรอ" รุ่นพี่ถามต่อ
ยิ่งเจอคำถามนี้ฉันยิ่งจนปัญญาจะตอบ












เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงที่หมายที่หมายถึง ที่กางเต็นท์

หลังภาระกิจสร้างที่นอนเสร็จสิ้น พวกเราก็ตั้งวงกินลมชมวิว
และฉันเริ่มถ่ายรูป ราวกับว่าถ่ายรูปประกอบคอลัมน์
โดยเรื่องราวที่ฉันจะเล่ามันอยู่ในหัวของฉันหมดแล้ว

ฉันคิด และเชื่อ ไปแบบนั้น

ตกเย็น ขณะทำอาหารง่ายๆ เพื่อความสนุกสนาน และ อิ่มหนำ
ฉันก็เริ่มสังเกตุเห็นว่า ในระยะที่ไม่ไกลกันนัก
มีคู่รักคู่หนึ่ง กำลังนั่งทานอาหารเย็น ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ
จนกระทั่งเมื่อดวงจันทร์เริ่มมาเยือน
เขาก็เริ่มเล่นกีตาร์ให้เธอฟัง เสียงกีตาร์หวาน เสียงร้องเพลงซึ้งๆ

ฉันเริ่มชี้ชวนให้คนอื่นเห็นตามฉัน
"อิจฉาเขาละสิ" รุ่นพี่เริ่มแซว

ฉันยิ้มแทนคำตอบ
พราะไม่แน่ใจว่ารู้สึกอะไร
ทั้งยังไม่แน่ใจว่าคิดถึงใคร







เช้าวันใหม่ ฉันตื่นตั้งแต่เช้า

จัดการจัดเก็บเครื่องนอน สัมภาระ สัมภารก ต่างๆ
เตรียมตัวเดินไปเที่ยวน้ำตก ตามความตั้งใจของรุ่นพี่
เตรียมตัวเดินไปถ่ายรูป ตามความตั้งใจของฉันเอง

ตลอดรายทาง เราแวะพัก
แวะทักทายต้นไม้ใบหญ้า
แวะเดินทางโน้น เดินทางนี้ ราวกับพลังเหลือเยอะ
ท้ายที่สุด
พวกเราก็มาถึงน้ำตก ตามเป้าหมายของรุ่นพี่
และฉัน ก็ได้ถ่ายรูป ตามเป้าหมายของฉัน


โลกภาพยนตร์ : The Longest Yard - กระตุกต่อมเกม คน-ชน-คน



พายุ : ดูอะไรอยู่
ภูเขา : ค้นค้นคน

พายุ : ตอนอะไรอีกละ
ภูเขา : คนอีสาน กลับบ้านตอนสงกรานต์ ตอนที่สองแล้ว

พายุ : สาระจริงๆ นะเอ็ง
ภูเขา : แน่นอนอยู่แล้ว เพิ่งกลับมาเหรอ

พายุ : อืม ไปดูหนังมา เรื่อง The Longest Yard
ภูเขา : เหรอ หนังเป็นไง

พายุ : ก็ตลกไปตามประสา อดัม แซนเลอร์ นั้นแหละ
ภูเขา : ทีนี้มาแนวไหนอีกละ

พายุ : ก็เล่นเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ที่โด่งดัง แต่โดนแบนเพราะถูกกล่าวหาว่าล้มบอล
ทีนี้แกก็พาชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ จนติดคุก แล้วก็เลยไปตั้งทีม อเมริกันฟุตบอลในคุก
โดยรวมทีมนักโทษด้วยกัน แข่งกับผู้คุม ประมาณล้างแค้นผู้คุมโหดๆ อะไรทำนองนั้น
ภูเขา : เรื่องมันคุ้นๆ เหมือนเคยดู

พายุ : คงงั้นมั้ง เพราะเรื่องนี้เป็นหนังเก่าที่เอามาทำใหม่
ภูเขา : อ๋อ งั้นก็ไม่น่าสนใจเท่าไร

พายุ : ก็ถ้าเป็นคนหาสาระแบบเอ็ง ก็คงไม่สนุกกับหนังเรื่องนี้เลยแหละ
ภูเขา : ต้องดูเอาขำอย่างเดียวว่างั้น

พายุ : แน่นอนอยู่แล้ว เหมือนดูหนัง หม่ำ หลวงพี่เท่ง ก็ดูเอาขำไง
ภูเขา : จะบอกว่า มาตรฐานเดียวกับหนังตลกของไทย

พายุ : เอ็ง ก็มองโลกในแง่ดีซะว่า หนังตลกของไทยก็เทียบชั้นฮอลลีวูด ไง
ภูเขา : มองโลกในแง่ดีจริงๆ นะเอ็ง