Thursday, January 31, 2008

บางสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป

หนึ่งในบางสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป
คือการป่วยขั้นรุ่นแรงของคนใกล้ตัว

หลังจากแม่ต้องฟอกไต
ผมมอง และรู้สึกกับอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไป
ผมต้องเตรียมพร้อมทั้งกายและใจ
เพราะบางครั้งอาการของแม่ก็แย่ลงอย่างฉับพลัน
ผมไปไหนมาไหนก็ต้องบอกให้ที่บ้านรู้ตลอดเวลา
ความสัมพันะระหว่างพี่น้องแน่นแฟ้นขึ้น

กว่าพวกเราจะข้ามแต่ละขั้นบันได
จากคิดได้
สู่เข้าใจได้
ไปต่อยังยอมรับได้
มันไม่ง่าย

กว่าแต่ละคนจะปรับวงจรชีวิตให้สอดคล้อง
เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้
ไม่ใช้เวลาไม่น้อย

ผมกำลังเขียนเรื่องนี้
เพราะเพื่อนสนิทกำลังเจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน

สักอาทิตย์ก่อน
เพื่อนบอกว่าพ่อของเขาไปตรวจแล้วเจอจุดดำที่ปอด

วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็กลับต่างจังหวัด
แล้วกลับมาทำงานอีกครั้งในวันเสาร์
สถานการณ์ไม่สู้จะดี
แต่ต้องรอฟังผลจนถึงวันพฤหัส

เพื่อนหายไปสองสามวัน
ผมก็มั่วแต่ยุ่งๆกับงานรับปริญญา
และตระเวนไปกินข้าวกับญาติ

เจอกันอีกทีเพื่อนก็บอกว่า
พ่อของเขาเป็นมะเร็งขั้นที่สี่
สภาพของเพื่อนตอนนั้นแย่มาก
ที่แย่ยิ่งกว่าคือ พวกเราต้องเร่งส่งงาน
แม้การพูดคุยเพื่อปลอบใจยังไม่ค่อยมีเวลา
แยกกันดึกมาก ตื่นเช้าก็ต้องไปทำงาน
อาการเพื่อนก็ยังแย่เหมือนเดิม

อาทิตย์นี้เพื่อนกลับบ้านอีกรอบ
เพื่อให้พ่อเริ่มบำบัด
วันนี้ก็เลยเจียดเวลางานอันแสนยุ่งโทรถามข่าว
แม้สถานการณ์ยังไม่กระเตื้อง
แต่เชื่อว่าเพื่อนเริ่มก้าวสู่บันไดขั้นต่อไปได้แล้ว

หลังจากคุยโทรศัพท์ก็ต้องบอกเจ้านายว่าเพื่อนยังมาทำงานไม่ได้
จึงได้รู้ว่ารุ่นน้องที่ทำงานอีกคนก็เพิ่งเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกัน
เมื่อสี่เดือนที่ผ่านมา

แม่เธอก็เป็นมะเร็งขั้นที่สี่
แต่เป็นมะเร็งที่ไขกระดูก
เธอก็เริ่มเล่า เหมือนฉายภาพซ้ำๆเดิม
ที่ทุกคนที่เจอสถานการณ์แบบนี้ต้องก้าวผ่าน

ขณะนี้แม่เธอรักษาด้วยยาจากฝรั่งเศส
ค่ารักษาเดือนละสามแสนบาท
ถ้าไม่ดีขึ้นจะมียาอีกชนิด ชุดเดียวหนึ่งล้านสามแสน
ไม่ว่าเลือกวิธีไหน ค่าใช้จ่ายก็หนัก
แต่ที่หนักกว่าคือ การรับมือกับความเจ็บป่วยของแม่

วันนี้พวกเราทั้งหมดเลิกงานด้วยความหงอยๆ
พวกเราเริ่มตั้งคำถามกันเองว่า
พวกเราจะทำงานหนักอย่างนี้กันไปทำไม
ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว เราอาจจะต้องเอาเงินที่หามาได้
ทั้งหมดเพื่อรักษาตัวเอง
ผมก็เลยเล่าเรื่องที่เพื่อนเพิ่งเล่าให้ฟังในวันนี้
เธอเล่าว่าลูกศิษย์ของเธอเพิ่งหัวใจวายตาย
ในวันที่นอนดึกหลังจากพยายามแก้ไขงานส่ง

แต่เพื่อไม่ให้ทุกคนแย่เกินไป
ผมก็บอกเคล็ดลับที่ผมใช้เสมอๆเวลาเจอเรื่องแย่ๆ
ยิ้มรับ แล้วมองหาข้อดีจากมัน
ทำตัวให้เป็นปกติ

ครั้งแรกๆ ที่ผมทำ
แม่และพี่ๆ อาจจะยังไม่ชิน
พร้อมกับสงสัยว่า สงสัยไอ้น้องคนนี้ไร้ความรู้สึก
ยังคงยิ้มและพยายามทำให้ทุกคนหัวเราะ
แล้วพอผมพยายามหลายๆครั้งเข้า
ท้ายที่สุดทุกคนก็จะเริ่มปรับอารมณ์เพื่อข้ามผ่านปัญหาให้ได้

วันนี้ผมก็คุยกับเพื่อนสนิทแบบนี้เช่นกัน

พยายามร่าเริงเข้าใว้
อย่างน้อยจิตใจที่ไม่ป่วย
ก็รักษาอะไร อะไรให้ดีขึ้นได้ บ้าง

ครองคู่กันอย่างมีความสุขตลอดกาล

เรื่องความรัก
เป็นเรื่องหนึ่ง
ที่มีแง่ให้คิดได้ไม่รู้จบ

อะไรทำให้คนรักกัน
แล้วอะไรทำให้คนเลิกกัน
รักแรกพบมีจริงไม๊
คนที่ใช่หมายถึงอะไร

สภากาแฟ
สามารถหยิบยกเรื่องนี้
มาเป็นหัวข้อสนทนาได้ออกรสเสมอ

ยิ่งถ้าโอกาสไหนได้ไปดูหนังรักกันมา
วงสนทนาก็ไปพ้นเรื่องนี้แน่นอน

Enchante หนังรักเรื่องล่าสุดที่ได้ดู
แต่ยังไม่ได้นำเข้าสภากาแฟ

หนังเริ่มเรื่องตามฉบับเทพนิยาย
มีเจ้าชายรูปงานเจ้าหญิงเลอโฉม
วันหนึ่งเจ้าชายก็ได้เจอเจ้าหญิง
ต่างฝ่ายต่างรู้สึกได้ในทันทีว่า
ได้เจอคนในฝัน
เจอคนที่รอมาแสนนาน

แล้วแม่มดใจร้ายก็ต้องมาขัดขวาง
ส่งเจ้าหญิงมานิวยอร์คยุคปัจจุบัน
แล้วทั้งหมดก็ตามมาสร้างอารมณ์ยิ้มๆ

ในนิวยอร์คยุคปัจจุบัน
ทนายหนุ่ม พ่อหม้ายลูกติด
ที่ภรรยาหนีไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
กำลังจะแต่งงานใหม่กับแฟนสาวที่คบกันมา 5 ปี

แล้วเรื่องราวของคำถามเรื่องความรัก
ก็ถูกใส่มาในช่วงนี้
ลักษณะการพูดคุยระหว่างเจ้าหญิงกับทนายหนุ่ม
อาจจะไม่เฉียบขาดเหมือนใน before sunrise
แต่อารมณ์ไม่ต่างกันผมรู้สึกอย่างนั้น

หนังอาจจะจบในแบบฉบับของเทพนิยาย
แต่ระหว่างทางที่หนังพาเราไปนั้น
ก็ถือได้ว่าสอบผ่าน

คำถามหนึ่งที่สภากาแฟมักถกกันคือ
ทำไมคนสมัยก่อนที่ไม่ได้คบหากันก่อนนานๆ
อาจจะเจอกันครั้งแรกในวันดูตัว
แล้วก็เจอกันอีกครั้งก็แต่งงาน
กลับอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าและตายไปจากกัน
แต่กับคนสมัยนี้
ที่คบหาดูนิสัยใจคอกันเป็นเวลานาน
แต่อัตราการแยกกันกลับสูงขึ้น

โดยเฉพาะเรื่อง คนที่ใช่ ในความหมายของแต่ละคน
อาจจะเป็นคนที่เราอยู่ใกล้แล้วหัวใจเต้นแรง
อาจจะเป็น คนที่เรานั่งเงียบๆด้วยกัน แล้วไม่มีใครรู้สึกอึดอัด
อาจจะเป็น คนที่เราอยากเล่าเรื่องแย่ๆให้ฟัง
อาจจะเป็นคนที่ทำให้เรายิ้มได้กับข้อบกพร่องของอีกฝ่าย
อาจจะเป็นคนที่เราชื่นชมกับการกระทำที่ดูไร้สาระ
ก็แล้วแต่พิจารณา แต่อย่าหวังว่าทั้งหมดจะต้องครบ

และเมื่อเราถกกันจนเป็นที่พอใจ
คำตอบก็มักจะลงเอยว่า
มันไม่เคยมีคำตอบเป็นสูตรสำเร็จในเรื่องความรัก
แต่ละคู่มีที่มาและที่ไปไม่เหมือนกัน
ก็ไม่ต่างกับตอนจบแบบเทพนิยายหรอก
เพราะถึงแม้เราจะรู้ว่าชีวิตจริงมันเลวร้าย
แต่เราก็ยังอยากเชื่อว่าความสุขแบบเทพนิยายมันมีอยู่จริง

เพียงแต่มันยังไม่ถึงคราวเราเป็นนักแสดงนำก็เท่านั้นเอง

Wednesday, January 30, 2008

อารมณ์ขุ่น

โดยปกติแล้วผมพยายามจะเป็นคนใจเย็น
ที่ใช้คำว่าพยายามก็มีความหมายตามนั้นจริงๆ
เพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนใจร้อน และเอาแต่ใจตัวเอง
จึงต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนใจเย็น

แต่ช่วงนี้อาการอารมณ์ขุ่นกำเริบบ่อย
ใครพูดจาไม่เข้าหูจะมีอารมณ์ไปซะหมด

ถ้าอายุมากกว่านี้อีกหน่อย
เขาอาจจะเรียกว่าวัยทอง
แต่เพราะเชื่อว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นนั้น
ก็เลยต้องคิดเอาเองอีกว่า
มาจากสาเหตุอื่น

ด้วยเวลาอันน้อยนิดประจำวัน
เพราะกิจวัตรประจำเจ็ดวันยังเหมือนเดิม
ตื่นขึ้นมาก็เข้าที่ทำงาน
สะสางงานต่างๆ
ปรึกษาหารืองานกับคนโน้นคนนี้
หรือบางทีก็วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไปซะงั้น
ตอนบ่าย
ถ้าไม่ออกไปประชุม
ก็จะไปนั่งทำงานที่สำนักงานสนาม

ตอนเย็นก็ไปทำงานฝิ่น
ซึ่งต้องถกประเด็น
และปรึกษาหารือกันตลอดเวลา

ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็ออกจากที่ทำงาน
นั่งแท็กซี่กลับที่พัก จัดการทำภาระกิจส่วนตัว
อาจจะเปิดคอมพ์นั่งทำงาน
หรืออ่านเอกสารต่างๆอีกสักหน่อย
แล้วก็เข้านอน
ซึ่งส่วนมากจะหลับคาเอกสาร


แค่คิดตามก็เหนื่อยแล้ว
หรือว่าสาเหตุของอาการอารมณ์เสียง่ายๆน่าจะมาจากสาเหตุนี้

เรียกว่าทำงานมากเกินไป
(หลีกเลี่ยงคำว่าทำงานหนัก เพราะงานที่ทำไม่ได้หนัก เพียงแค่มาก)


แต่นั่นอาจจะไม่ใช่สาเหตุก็เป็นได้
เพราะว่าวงจรชีวิตแบบนี้ก็เป็นมานานแล้ว


กำลังสงสัยอีกสาเหตุคือ
อาการหลงตัวเอง
อาการนี้แก้ยาก แต่ต้องแก้
เพราะคนที่เป็นแบบนี้
ไม่น่าเข้าใกล้ด้วยประการละทั้งปวง

เพราะผมเจอคนแบบนี้มาเยอะ
มหาลัยที่จบมา
สร้างคนแบบนี้มาเต็มวงการ


ที่สงสัยว่าตัวผมเองจะเป็นแบบนี้
ก็เพราะบางครั้ง อารมณ์ขุ่น เกิดจากคำพูดของบางคน
ที่เราคิดว่าความคิดเห็นของเขาไม่ควรค่าแก่การฟัง
เราผ่านการหาข้อมูล และถกประเด็นเหล่านั้นกันมานานแล้ว
ความคิดเห็นเหล่านั้น มันไม่ควรเสียเวลามานั่งอธิบายกันอีกแล้ว
และส่วนใหญ่คนที่พูดแบบนั้น มักจะมีอาวุโสกว่าผมซะด้วย

ตอนนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่าสาเหตุอารมร์บ่จอย (555 ศัพท์วัยทองมากๆ)
เกิดจากเหตุอย่างหลังมากกว่าอาการทำงานเยอะ


วันพรุ่งนี้ค่อยมาคิดต่อก็แล้วกัน
ว่าจะจัดการยังไง

เนื่องจากเวลามีน้อย
ต้องใช้สอยอย่างประหยัด
คิดไม่เสร็จพรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ

ทบทวนตัวเองวันละนิด
จิตแจ่มใส่

(คตินี้ก็โบราณมากๆนะเนี่ย 555)