Friday, September 26, 2008

สงบ สุข สุขสงบ ลึกลงสู่ด้านใน

เริ่มตั้งแต่วันที่หนึ่งเดือนกันยายน
ชีวิตของผมดำเนินไปดังนี้

๒๒.๐๐ เข้านอน

๐๒.๐๐ ตื่นมาทำละหมาด แล้วนอนต่อ

๐๔.๐๐ ตื่นมารับประทานอาหาร

๐๕.๐๐ เริ่มถือศีลอด ไปละหมาดที่สุเหร่า
และอ่านคัมภีร์จนประมาณหกโมงเช้า

๐๖.๐๐ ไปทำงาน

๑๒.๐๐ ไปละหมาดที่สุเหร่า

๑๓.๐๐ เริ่มงานภาคบ่าย

๑๗.๐๐ เลิกงาน ไปละหมาดที่สุเหร่า และอ่านคัมภีร์

๑๘.๐๐ โดยประมาณ รับประทานอาหารเย็น หลังจากถือศีลมาทั้งวัน

๑๙.๐๐ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไปละหมาด

๒๑.๓๐ โดยประมาณ เสร็จภาระกิจประจำวัน ดูข่าวเล็กน้อยก่อนเข้านอน

แล้วก็เข้าสู่ตารางเวลาตามเดิม
ยกเว้นก็เพียงแค่เสาร์อาทิตย์ที่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง
แต่ไม่มากนัก เพราะเวลาที่เป็นการทำงาน อาจจะถูกแทนที่ด้วย
การออกกำลังกายเล็กน้อย หรือการสะสางงานเก่าๆ

นี่ยังไม่รวมกลายเปลี่ยนแปลงอื่นๆ
เช่น พูดแต่น้อย และเมื่อพูดไปก็พยายามพูดแต่สิ่งดีๆ

หรือการเปลี่ยนแปลงที่มองยาก
อย่างการคิดแต่สิ่งดีๆ

ฟังดูเหมือนจะลำบาก
แต่มันกลับเป็นหนึ่งเดือนที่รู้สึกดีๆ

มันเหมือนกันชีวิต
ได้กลับไปสู่ร่องรอย
หรือ เส้นทางที่มันควรจะเป็น

ชีวิตที่ชัดเจนว่า ควรจะทำงานแค่ไหน
ควรใส่ใจในเรื่องทางธรรมอย่างไร
การรักษา กาย วาจา ใจ ให้ดีๆ

พยายามออกจากสิ่งที่มันรก และเปล่าประโยชณ์
นี่ผมกำลังพูดในเรื่องรูปธรรมของชีวิตในโลกนี้

การนอนไม่ดึก ก็ย่อมเป็นผลดีต่อร่างกาย
และหลายต่อหลายครั้งที่เรานอนดึก
ไม่ช่ายด้วยเหตุผลที่มีค่าเพียงพอ
อาจจะเป็นเพียงการดูทีวี
หรือรายการที่ไม่ได้สร้างผลดีต่อเรามากนัก

การตัดการกระทำที่ไม่จำเป็นออกไปจากกิจวัตร
ทำให้เรามีเวลาเหลือพอ
ที่จะนำมาสร้างสิ่งดีๆให้กับตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน
หรือ การศึกษาธรรม

ยิ่งในส่วนของการทำงาน
แค่ไหนคือความพอเหมาะพอควร
บางครั้งเรากำลังลงแข่งขัน
และถึงกับแก่งแย่งในบางครา
เพื่อผมตอบแทน หรือการสะสมทรัพย์

การหยุด และนั่งทบทวนสิ่งเหล่านี้ซะบ้าง
มันทำให้ชีวิตเดินช้าลง

มาถึงในส่วนของการระวังคำพูด
เป็นความยากอีกขั้นหนึ่ง
เพราะด้วยความเคยชิน
อาจจะทำให้เราพูดในสิ่งที่ไม่ดี
พูดจาให้ร้ายคนอื่น พูดจาส่อเสียด
ประชดประชัน หรือบางครั้งแค่คะนองปาก
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยง
พูดในสิ่งที่ควร
และงดเว้นที่จะพูดในสิ่งที่ไม่ควร

และความยากที่สุดก็คือ
การคิดดี การรักษาความคิดให้ดี
หากเราทำได้จิตใจเราก็จะสบาย
เราอาจจะได้ยินสิ่งไม่ได้
เราอาจจะเห็นสิ่งไม่สบอารมณ์

แต่หากเราพยายามรักษาความคิดเราให้ดี
สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อเราได้
เมื่อเรารักษาใจให้เป็นสุขได้
ก็จะตามมาด้วยความสงบในอารมณ์
แล้วเหล่านี้ก็จะนำไปสู่ความสุข ในที่สุด

เหล่านี้แหละมันคือ
รูปแบบชีวิตที่เราควรจะใช้มันในทุกๆวัน
สงบ เพื่อนำไปสู่สุข
รักษาความ สุขสงบ

เดือนที่ดีที่สุดกำลังจะผ่านไป
ผมหวังใว้ว่า
ทั้งหมดนี้ จะฝั่งลึกสู่ด้านใน
และจะกลายเป็นความถาวร ในตัวเราต่อไป

Tuesday, September 23, 2008

นักจัดสวน




- 1 -

ผมมีพี่ชายสองคน
ทั้งสองชอบจัดสวน

ย้อนอดีตไปสมัยที่บ้านหลังปัจจุบัน
เพิ่งเสร็จใหม่ๆ
พี่ชายทั้งสองคนช่วยกันสะสมต้นไม้
เตรียมใว้สำหรับสวนใหม่ กับบ้านใหม่

ครั้นพอถึงเวลาจัดจริงๆ
ด้วยความชอบที่ไม่เหมือนกัน
ยากที่จะประณีประนอม
กรรมการกลางอย่างผม
จึงทำการแยกพื้นที่ให้ทั้งสองคน
อยู่กันคนละมุมบ้าน
มีถนนและที่จอดรถขวางใว้
แม้ยังอยู่ในบ้านเดียวกัน
แต่ก็เป็นอิสระจากกัน ระดับหนึ่ง

แต่ละปีผมจะกลับบ้านไม่กี่ครั้ง
ทุกครั้งที่กลับไป ผมจะหงุดหงิดกับสวนของพี่ชายคนโต
เพราะมักจะเห็นต้นไม้ถูกตัด แต่ง
จนขาดความเห็นธรรมชาติ
บางต้นที่ผมรู้สึกว่าควรปล่อยใว้เป็นไม้ใหญ่
ท่านพี่แกก็ตัดให้มันโล่งๆ
บางต้นที่จำได้ว่าครั้งก่อนเคยเห็น
มาครั้งหลังอาจจะไม่เจอมันอีกแล้ว
บางต้นที่ไม่เคยเห็น เพราะครั้งก่อนอาจจะเล็กอยู่
ก็กลับมาโดดเด่นเป็นสง่าขึ้นมา

ต่างกับสวนของพี่ชายคนรอง
แกจะทะนุถนอมต้นไม้
ปล่อยให้แต่ต้นได้โต
หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ตัด
ถึงจำเป็นจริงๆ ก็หาทางเลี่ยง
สวนฝั่งนี้จึงออกมาเป็นธรรมชาติ มาก
จนออกจะติดไปทางด้านรกๆ
และแต่ละครั้งที่กลับไปเห็น
สภาพของสวนก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ไม้ใหญ่ก็ยังคนเติบใหญ่ ไม้ใหม่ๆไม่ค่อยมีให้เห็น


- 2 -

ผมมีเจ้านายใหญ่อยู่สองคน
คนหนึ่งเป็นฝรั่ง
อีกคนเป็นคนไทย

เจ้านายคนไทยจะเป็นคนค่อนข้างตามใจลูกน้อง
สมมุติว่าสั่งงานลูกน้องคนไหน
แล้วลูกน้องบอกว่า ทำไม่ได้ ไม่สะดวกจะทำ หรือไม่ว่าง
เจ้านายก็ไม่ว่าอะไร อาจจะทำเอง หรือหาคนที่ว่างมาช่วย
ลูกน้องบางคนอยู่กับเจ้านายคนนี้มานาน
นานจนเจ้านายเคยเปรยๆว่า
เจ้านายไม่ไล่ใครออกเด็ดขาด
นอกว่าจะปล่อยให้ลาออกไปเอง
แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่มีประโยชณ์ใดๆต่อองกรณ์อีกเลย

หรือแม้แต่บางคนถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนที่สูง
แต่กลับไม่ยอมทำอะไร
เอาเปรียบคนอื่น เจ้านายคนนี้ก็ไม่ว่าอะไร
ประมาณว่า ใครจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร
เจ้านายคนไทยคนนี้ก็ไม่ว่าอะไร
ถือเป็นเจ้านายในอุดมคติของคนที่ไม่อยากทำอะไร
แต่เป็นเจ้านายที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน สำหรับคนที่ถูกเอาเปรียบ
และแน่นอนลูกน้องที่ถูกเอาเปรียบสามารถเข้าไปบ่นให้เจ้านายฟังได้
เจ้านายจะรับฟังอย่างตั้งใจ
แต่ท้ายที่สุด เจ้านายก็ไม่ทำอะไร
ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ

ต่างจากเจ้านายฝรั่ง
ซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นเคยมากนัก
แต่รุ่นพี่หลายคนเล่าให้ฟังว่า
ถ้าหากทำงานโครงการกับเจ้านายคนเก่า
แล้วได้กำไรมากมาย โบนัสปลายปีก็จะตามมามากมายเช่นกัน
และหากหมดโครงการแล้วไม่มีโครงการต่อ
เจ้านายฝรั่งก็จะไล่ออกเลย รอให้มีโครงการใหม่
ถึงค่อยติดต่อมาร่วมงานกันอีกครั้ง
และในขณะทำโครงการนั้น
หากความสามารถไม่เหมาะสมกับค่าตอบแทน
เจ้านายฝรั่งก็เรียกร้องให้พัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่เหมาะสม
หากไม่สามารถทำได้ ก็ต้องจากกัน
แน่นอนว่าในการทำงานแต่ละครั้ง
ก็จะมีคนเก่าคนใหม่คละเคล้ากันไป
คนใหม่ที่เก่งก็เติบโต คนเก่าหรือคนใหม่ที่ไร้ประโยชณ์ก็ถูกกันออกไป

ลูกน้องอาจจะรักเจ้านายคนไทย
แต่เจ้านายฝรั่งกลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริหารมากกว่า



- 3 -


ระหว่างที่ผมและเพื่อนร่วมงาน
ปรึกษากัน ถึงการวางแผนการทำงานโครงการใหม่
เราหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้น และคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ผมนึกวิธีการดูแลสวนของพี่ชายทั้งสองคนของผม

บางทีวิธีการบริหารจัดการคน
มันก็ไม่ต่างจากการดูแลต้นไม้ในสวนของเรา

บางต้นสวยงามอยู่แล้ว อาจจะแค่ต้องใส่ปุ่ยเพิ่ม
บางต้นอาจจะต้องถูกตัดแต่งเพื่อลดขนาดให้เหมาะกับสภาพ
บางต้นจะต้องถูกตัดทิ้งเพื่อเปิดโอกาสให้ต้นอื่น
และบางครั้งเราก็ต้องลงต้นไม้ใหม่บ้าง

แค่ไหนละคือความพอดี

ดูเหมือนว่า คำตอบครอบจักรวาลคือ
เรื่องนี้มันเป็นศิลปะ

อืม


ปล..

โดยส่วนตัวชอบสวนญี่ปุ่น
ถ้าทำสวนเองเมื่อไหร่
จะออกแนวนี้

Monday, September 22, 2008

สิงหา...พาตัวเองออกจากห้องทำงาน




(ปล. รูปที่ปรากฏนำมาจากเว็ปชาวบ้านเน้อ ขี้เกียจทำรูปเอง)


สัปดาห์แรก


ไปเดินป่าที่สังขละบุรี
เป้าหมายคือน้ำตกป่งป๊ง

แค่ฟังชื่อก็คงน้อยคนที่จะรู้จัก
(รายละเอียดปรากฏในหนังสือ อสท ฉบับเดือนกันยายน)

จากกทม
เรามุ่งสู่ สังขละบุรี
ครั้งแรกของผมสำหรับสะพานมอญแห่งสังขละ
หลังจากภาระกิจอาหารเช้า
เราก็เดินทางสู่หมู่บ้านกองม่องทะ
นั่งเรือหางยาวย้อนสวนแก่งแม่น้ำรันตี
มาถึงจุดที่เริ่มเดิน แล้วเดินๆๆๆ
ก่อนจะถึงแคมป์ที่พักก็ข้ามน้ำเป็นระยะ


สัปดาห์ที่สอง

เย็นวันศุกร์
ด้วยความชะลาใจ
ออกจากที่พักช้า
กว่าจะฝ่าการจราจรไปถึงหมอชิตใหม่
ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซน์

เพิ่งรู้สึกว่า
หมอชิตแน่นมากๆ
นี่ถ้าเทศกาลสงกรานต์
จะสามารถแทรกตัวเข้าไปตรงไหนได้

แต่รถออกออกจากหมอชิตตรงเวลา
มุ่งหน้าสู่ปลายทาง แม่สาย

เป้าหมายของทริปนี้คือ เชียงตุง
เมืองๆหนึ่งในรัฐฉาน หรือ รัฐสยาม
แห่งประเทศพม่า หรือ เมียนมาร์ นั่นแล

หลังจากจัดการเรื่องผ่านแดนเรียบร้อย
เราก็เจอกับรถตู้ที่ติดต่อเช่าใว้แล้ว

การเดินทางสู่เชียงตุง
ผ่านสองข้างทางที่เขียวขจี
และแน่นอน ต้องรายงานตัวตลอดทาง
เพราะรัฐฉานนั้นจะเป็นรัฐที่มีการปกครองอย่างเข้มงวด

พวกเราค่อยๆแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จากปกติที่ไม่น่าเกินสี่ชั่วโมง
พวกเรากลับใช้เวลาไปจนเย็น
เลือกที่พักอีกเล็กน้อย
ก่อนจะไปนั่งทานอาหารเย็น
ริมหนองเชียงตุง

บรรยากาศดี เย็นสบาย

วันรุ่งขึ้นเราไปเที่ยวดอยเหมย
ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก
กลับมาก็เที่ยวเมือง
วัดโน้นวันนั้น

วันที่สาม
เราไม่ได้ใช้รถ
แต่เลือกเดินเที่ยวเมือง
เริ่มต้นกันที่ตลาด
แล้วก็เดินเที่ยวจนทั่วเมือง

วันที่สี่
เราก็เดินทางกลับ

ตลอดเวลาที่อยู่เชียงตุง
ผมรู้สึกว่า คนที่นี้ทำให้เรารู้สึกว่า
เขาคือคนเชียงตุง ไม่ใช่คนพม่า

อาจจะด้วยความเข้มงวดของการปกครองหรือเปล่า
เลยทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่า
เป็นประเทศเดียวกันกับรัฐบาลกลาง

ผมไม่รู้ความจริงหรอก
แค่รู้สึก และอาจจะฉาบฉวยด้วย


สัปดาห์ที่สาม

ทำตัวเป็นลูกที่ดี
กลับบ้านไปหาแม่

เลือกเที่ยวบินเช้าสุดของวันเสาร์
กลับมาอีกทีก็ดึกๆวันจันทร์

นานๆกลับบ้านที
ชอบนอนเล่น


สัปดาห์ที่สี่

เพื่อนๆรวมตัวกันไปดูคอนเสิร์ตชื่อ Lost Concert
ไม่ค่อยเข้าใจว่าคอนเสิร์ตต้องการอะไร
แน่รู้สึกว่าคนทำ มีความตั้งใจที่ดี
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า สารที่เขาจะสื่อ คนรับรู้สึกตามนั้นหรือไม่
เพราะว่าในคอนเสิร์ตมีวัยรุ่นตีกันด้วย


สัปดาห์ที่ห้า

หมดไปกับการออกกำลังกาย
และไปร้านหนังสือ

พักผ่อน
ก่อนเข้าเดือนถือศีล