Monday, May 29, 2006

ห้วยแม่ขมิ้น



วันศุกร์

วุ่นวายกับการส่งงานหลายๆ ชิ้น
เพราะไม่อยากให้งานคั่งค้าง

ห้าโมงรีบออกจากที่ทำงาน
แวะเอากระเป๋าที่ห้อง
แต่เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ
ก็เลยอาบน้ำ อย่างสบายใจ

ไปถึงที่นัดหมาย
ปรากฏว่าสมาชิกคนอื่นมาถึงกันหมดแล้ว
และก็มาถึงกันตั้งนานแล้วด้วย

ก็ยิ้มเขินๆ
ยอมรับความผิด
อันนิดหน่อย

เราออกจาก กรุงเทพ
แวะรับรุ่นพี่อีกคนที่วิทยาลัยพ่อเปิ่น
เมื่อสมาชิกครบทั้งสิบ
เราก็แวะทานอาหารค่ำกันแถวๆ กำแพงแสน
แล้วก็มุ่งตรงไปนอนที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ

เข้าที่พักประมาณเที่ยงคืน
เป็นบ้านพักของอุทยาน
ใหญ่โตอลังการมากๆ
ประกอบด้วยห้องนอนแอร์สองห้อง
และห้องนอนพัดลมขนาดหกเตียงอีกหนึ่งห้อง
มีพื้นที่ส่วนกลาง มีห้องครัว ไมโครเวฟ ตู้เย็น
แถมมีน้ำตกส่วนตัว สามารถนอนฟังเสียงน้ำตกได้ทั้งคืน

สงสัยว่า
อุทยานจะทำบ้านพักอลังการแบบนี้ใว้ทำไม

แหะ แหะ แหะ
ก็เอาใว้ให้คนแบบเรามาขอพักฟรีไง

อันนี้ตอบแบบเล่นๆ
เพราะมันไม่ฟรีหรอก







วันเสาร์


ตื่นมาตอนเช้า
สมาชิกส่วนใหญ่ก็ลุกมาขยับแข้งขยับขา
คว้ากล้องถ่ายรูปมาทำงาน
เดินถ่ายรูปรอบๆบ้าน

แล้วก็ออกไปทานอาหารเช้า
ป้าที่ร้านอาหารกำลังเล่าละคร
เรื่อง มังกรซ่อนพยัคย์ ตอนจบ
เราก็นั่งฟังเพราะอยากรู้
แต่จนกระทั่งทานข้าวเสร็จ ยืนอ้อยอิ่งอีกสักพัก
แกก็ยังเล่าไม่จบ เพราะแกเล่นย้อนความไปถึงต้นเรื่อง
เราเลยไม่รู้กันเลยว่า ตกลง กิ้งกื้อ ทั้งหลาย
มีจุดจบตรงไหน เพราะทั้งเรื่องไม่มีมังกร ไม่มีพยัคย์สักตัว

หุหุหุ ออกนอกเรื่องอีกแล้ว

ทานข้าวเสร็จ เราก็ไปทำหน้าที่กันต่อ
ก็ไปถ่ายรูปที่น้ำตกเอราวัณ
ไปถึงเช้าเกินไป
เจ้าหน้าที่ยังยืนเคารพธงชาติ
และสวดมนต์หน้าเสาธงกันอยู่
อันนี้ไม่ใช่สำนวน เจ้าหน้าที่เขาสวดมนต์กันจริงๆ

เอราวัณเป็นน้ำตกที่สวย
ถ้าคนไม่เยอะเกินไป
เราก็เลยถ่ายรูปกันสนุกสนาน
เพราะคนยังไม่เยอะ








ข้าพเจ้าถ่ายได้เพียงชั้นสาม
ก็เกิดเหตุอันไม่ควร
เจ้ากล้องโบราณที่ข้าพเจ้ามีอยู่ตัวเดียว
เกิดอาการอยากเล่นน้ำตกขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ก็เลยกระโดดลงไปแช่น้ำซะงั้น

ไม่ได้กระทำแบบเอาเท้าแหย่ๆนะ
เจ้ากล้องมันดำลงไปนอนให้โคลนเลยแหละ
สงสัยจะร้อนจัด หรือไม่ก็โมโหใครก็ไม่รู้


ช่วงเวลาที่เหลือ
ข้าพเจ้าก็ต้องเล่นน้ำ
เพราะเลือกอะไรไม่ได้แล้วนิ

ระหว่างเดินจากชั้นสามไปชั้นสี่
มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทัก
เขาคนนี้กำลังอุ้มลูกเล็กๆ
พกภรรยาและแม่ยายมาด้วย

เขาทักว่า

คุณเรียนปริญญาตรีที่ ... ใช่ไหม
ข้าพเจ้าตอบใช่

คุณเรียนคณะ ... ใช่ไหม
ข้าพเจ้าตอบใช่

ผมเรียนรุ่นเดียวกับคุณ
ผมเรียนภาควิชา ...

เอาละสิ
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็เอ๋อเลย

ก็ต้องยอมรับแบบหน้าซื่อๆว่า
เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ

แล้วข้าพเจ้าก็รีบเดินหนีมาเลย
แทนที่จะถามชื่อเสียงเรียงนามเขาสักหน่อย
หรือไม่ก็ยื่นนามบ่งนามบัตรให้กัน จะได้รู้จักไผเป็นไผ
(ข้าพเจ้าเสร่อพกนามบัตรไปด้วย งงไม๊ละ)

จริงๆคือ อึ้งนะ
มีคนในคณะจำตรูได้ด้วยเหรอฟะเนี่ย
ยิ่งคนละภาคเนี่ย เป็นไปได้ไง
ประหลาด ไม่อยากเชื่อ

แต่ช่างมัน
เดี่ยวกลับไปเปิดหนังสือรุ่นดูก็ได้
อยากรู้ว่ามันเป็นใคร
จำตรูได้ เจ๋งจริงๆ เพ่


ออกทะเลไปอีกแล้ว
กลับเข้ามาที่เอราวัณ

คณะเขาเราเดินไปกันไปจนถึงชั้นเจ็ด
แล้วก็แวะเล่นน้ำกันมาเรื่อยๆ
พร้อมทั้งมีคนเดินสวนทางขึ้นไปเรื่อยๆ

เรากลับออกมาจากน้ำตกประมาณเที่ยง
สวนกับคณะคนรู้จักอีกสองกลุ่ม
กลุ่มแรกประมาณห้าหกคน
ทีมนี้มาถ่ายรูปแบบจริงจัง และเป็นมืออาชีพ
คือมาทำงานงานจริงๆ ม่ายช่ายทำงานอดิเรก

กลุ่มที่สองที่เจอกันก่อนออกก็ประมาณยี่สิบคน
ก็ขนกันมาสองรถตู้ ทีมนี้เป็นการจัดทริปมาถ่ายรูปโดยเฉพาะ
มีทั้งโปรเก่า โปรใหม่ แฟนโปร อนาคตโปร
และอนาคตแฟนโปร มากันตรึม

กลับมาถึงที่พัก
(จริงๆ ก็อยู่ใกล้ๆ เขียนให้ดูไกลไปงั้นแหละ)

เก็บข้าวเก็บของ
อาบน้ำอาบท่า
แล้วก็มุ่งสู่ห้วยแม่ขมิ้น

การไปห้วยแม่ขมิ้นฟังดูยาก แต่จริงๆไม่ยากมาก
เริ่มจากออกจากเอราวัณ
ขับไปทางศรีสวัสดิ์
แต่แวะลงแพที่หนึ่ง
ข้ามน้ำครั้งที่หนึ่ง
ราคาคันละหกสิบบาท
อาจจะเสียเวลาเล็กน้อย
เพราะต้องรอให้แพเต็ม
ระยะเวลานั่งแพไม่นาน






พ้นจากแพครั้งที่หนึ่ง
ก็ขับรถไปอีกระยะ
ก็จะถึงแพครั้งที่สอง

อันนี้จะแพงกว่า
เป็นหนึ่งร้อยหกสิบบาท
ก็ต้องรอให้แพเต็มเหมือนกัน
ขั้นนี้จะนั่งแพนานสักนิด
แต่วิวก็สวย ดูไปได้เรื่อยๆ
หรือจะถือโอกาสหลับ ก็ไม่ผิดกติกา









ขึ้นจากแพก็ขับรถไปอีกระยะหนึ่ง
ถ้าฝนตกถนนช่วงนี้ก็จะลำบากมาก
แต่วันนี้ฝนยังไม่ตก จึงลำบากแค่ฝุ่นๆ
ฝ่าถนนไปได้ก็จะถึงที่ทำการอุทยาน
อันดูเจริญกว่าที่คิด แล้วก็โดนเก็บค่าเข้าอุทยาน
ที่เดือนหน้าจะปรับราคาเป็น สี่สิบบาทต่อคน ทั่วประเทศ

แล้วเราก็ได้ที่พักอันใหญ่โต อลังการ ตามเคย
ที่พักประกอบด้วยห้องนอนสี่ห้อง
แต่ละห้องประกอบด้วยเตียงเดี่ยวสามเตียง
มีระเบียงนั่งกินลม(และกินอาหาร)ชมวิว
มีพื้นที่ให้พี่ๆ เขานั่งทำอาหารอย่างสะดวกสบาย
จริงๆ เขาเขียนติดใว้ว่า ห้ามทำอาหาร
แต่บ้านพักใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้จะห้ามทำไม

อาหารมื้อนี้ของเรา อลังการมากๆ
กินกันจนท้องจะแตก
- อาจจะเป็นข้าพเจ้าคนเดียวก็เป็นได้
กินเสร็จก็นอนเลย
เพราะว่าอิ่มมาก

ใครจะนั่งสังสรรค์กันยังไง
ข้าพเจ้าไม่สน
ชอบนอน

ทัวร์ กินๆ นอนๆ ชอบ


















วันอาทิตย์


นอนเป็นคนแรก
ตื่นเป็นคนสุดท้าย

เขาตื่นไปดูพระอาทิตย์กัน
แต่ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาก็กิน

เสร็จแล้วก็ออกไปถ่ายรูปเล็กน้อย
เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นน้ำตกเลย

และแล้วก็ได้รู้จักกับน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
ชั้นแรกที่เสนอหน้าให้เห็นคือ ชั้นสี่
ใครๆ ก็บอกว่าชั้นนี้สวยสุด
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถ่ายรูปเลย
ยังงงเหมือนกันว่า ทำไมตรูไม่ถ่าย


ปล. ตัดกลับไปเรื่องกล้องข้าพเจ้าสักหน่อย
หลังจากเจ้ากล้องโบราณมันดำน้ำแล้ว
ข้าพเจ้าก็คิดว่า คงต้องลาขาดจากกัน
แต่ก็อลงเอามันมาตากแดด ตากมันตั้งแต่ออกจากเอราวัณ
ตากมาเรื่อยๆ จนคิดว่ามันคงจะแห้ง
เพราะบรรดาหมอกน้ำที่มันเต็มหน้าจอ
เริ่มหายไปจนหมด แล้วข้าพเจ้าก็ลองเปิดใช้ดู
ปรากฏว่ามันใช้ได้ ด้วยประการฉะนี้แล


เข้าเรื่องต่อ

ข้าพเจ้าเดินจากชั้นสี่
ลงไปที่ชั้นสาม สอง หนึ่ง
ทำเป็นเล็งๆ ไปงั้นแหละ
ไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะมืออาชีพยืนกันตรึม
ต้องเดินไปหลบๆ หาที่ส่วนตัว อายเขานะ

ดูจากรูปที่ถ่ายมาก็แล้วกัน
ประมาณว่าแอบๆ ถ่ายมานะ

กลับขึ้นมาที่ชั้นสี่
แล้วก็มาทานข้าวเช้า
ที่พี่ๆ เขาเตรียมใว้เรียบร้อย
เป็นผัดไทย สลัดไก่เทอริยากิ







อิ่มแล้วก็นอนเล่น
นิดหน่อย พอเป็นพิธี
ก่อนที่จะออกไปถ่ายรูปกันต่อ

ทีนี้เราเดินขึ้นไปที่ชั้น ห้า หก เจ็ด
เจ็ดกว่า เจ็ดกว่าๆ เจ็ดกว่า กว่า กว่า
คือว่า เขาไม่ได้ตั้งชื่อชั้น ก็เลยไม่รู้จะเรียกอะไร

เดินไปถ่ายรูปไป
ถ่ายทิ้ง ถ่ายขว้างมันไปเรื่อย
ก็เลือกๆ มาปลากรอบได้ประมาณนี้แหละ

ท้ายที่สุดเราก็เดินกลับลงมาเล่นน้ำที่ชั้นสอง
น้ำเย็นสบาย ไหลแรง เงียบ มีแต่พวกเรา
ชอบจัง

เล่นน้ำกันพอประมาณ
ก็ออกมาทานอาหารเที่ยง
นอนพักกันอีกเล็กน้อย

แล้วก็เก็บข้าวของ
มุ่งไปทานอาหารเย็นที่ตัวเมืองกาญจน์












ทานอาหารเสร็จก็ไม่ส่งรุ่นพี่ที่วิทยาลัยพ่อเปิ่น
มุ่งตรง (เลี้ยวบ้าง ตามถนน) กลับกทม

ถึงสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า
ประมาณสี่ทุ่มกว่า

จบไปอีกหนึ่งทริป

ชอบ กินๆ นอนๆ แล้วก็เล่นน้ำ
อ้อ ถ่ายรูปด้วย





Thursday, May 25, 2006

เรื่องไม่ตลก

ผมเป็นคนขวางโลกหรือเปล่า



ผมมักตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้ง
ที่เจอเหตุการณ์หรือเรื่องราวใดๆก็ตาม
ที่ผมมอง คิด และ รู้สึกไม่ตรงกับคนส่วนใหญ่
หรือแม้จะตรงกับคนส่วนใหญ่
แต่ไม่ตรงกับความตั้งใจของคนนำเสนอ


อย่าง กรณีหนังเรื่องหมากเตะ
แค่ดูหนังตัวอย่าง ผมก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่
มุขแต่ละอย่างที่ขนมา มันดูไม่สร้างสรรค์
แต่ก็อีกนั่นแหละ เราจะตัดสินหนังแค่หนังตัวอย่างไม่ได้
ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉาย
ถ้ากลัวว่าจะมีปัญหาระดับประเทศ ก็น่าจะมีการฉายแบบจำกัดโรง
ให้คนที่ได้ดูจะได้รู้ว่า ถ้ามรึงคิดและทำแบบนี้
มันจะเดือดร้อนถึงมรึงและคนอื่นๆ
ทีหน้าที่หลัง จะทำอะไรก็ให้คิดให้ดี

แล้วก็มาถึง เรื่องดาวินซี
เรื่องนี้จริงๆ มันน่าจะจัดอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันกับเรื่อง หมากเตะ
ผลของการพิจารณาน่าจะใช้บรรทัดฐานเดียวกัน
แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า
ท้ายที่สุด อำนาจเงินตราจากฮอลลีวูด ก็ย่อมชนะทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น อย่ามาทำเป็นต่อต้าน หรือ คัดค้าน
ในสิ่งที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าท้ายที่สุด มันจะลงเอยแบบไหน

เสียเวลา


ล่าสุดเพิ่งได้ดูโฆษณา ประกันภัยยี่ห้อหนึ่ง
(ที่เขียนแบบนี้เพราะจำชื่อไม่ได้จริง)

เรื่องราวมีประมาณว่า
หนุ่มคนหนึ่งขับรถมากับสาว
แล้วตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปใช้สมรภูมิที่ไหนทำกิจกามกันดี
สาวก็บอกว่าที่บ้านเธอ รกมาก อย่าไปเลย
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั่น รถก็เกิดไปชนท้ายคันข้างหน้า
เจ้าหนุ่มก็โทรเรียกบริษัทประกันมาทำการเคลม
แล้วก็ลงมาจากรถ

แล้วเรื่องราวก็กลับตาลปัตร
จู่ๆสาวคนนี้ก็วิ่งไปหาคู่กรณี
เพราะเป็นสามีเธอ
พร้อมทั้งร้องตะโกนว่า ชายหนุ่มคนนี้หลอกลวงเธอมา
สามีได้ยินดังนั้น ก็พยายามหาอาวุธมาทำร้ายไอ้หนุ่ม

ระหว่างนั้นบริษัทประกันก็มา
ทำการเคลมเสร็จเรียบร้อยให้ไอ้หนุ่มหนีไปได้
ก่อนที่จะถูกสามีเขาทำร้าย

แล้วเรื่องก็จบ
พร้อมทั้งบอกว่า
มาเร็ว เคลมเร็ว
ประมาณนั้น

หนังโฆษณามันออกมาในโทนตลก
แต่ผมกับไม่ตลกด้วย


เพราะผมกลับไปนึกถึงข่าวเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้น
ข่าวที่ครึกโครมอยู่ช่วงหนึ่ง

ชายหนุ่มที่ทำงานบริษัทด้านสินเชื่อ
ไปหาแฟนหญิงตามที่ได้นัดหมายกันใว้
แล้วก็ไปเที่ยวกันตามปกติ จนดึกดื่น
และทุกคนก็ต้องคาดการณ์เหมือนกันกับชายหนุ่มว่า
เขาและเธอควรจะไปจบกันที่ไหน

ปรากฏว่าหญิงสาวก็บอกให้ชายหนุ่มไปส่งตามปกติ
แล้วก็นัดหมายให้สามีอีกคนรออยู่ที่นั่น
เมื่อเจอกัน เรื่องมันก็เป็นไปตามข่าว

ชายหนุ่มบริษัทประกันถูกฆ่าตาย

เรื่องนี้ไม่ตลก
เพราะเขาไม่ได้หนีทันเหมือนในโฆษณา


ผมเลยไม่เคยรู้สึกตลกกับโฆษณาชิ้นนั้นเลย
ถ้าพ่อแม่คนที่อยู่ในข่าวนี้เห็นโฆษณาจะขำออกไม๊

แล้ว คนทำ
เขาเคยคิดแบบนี้บ้างไม๊


หรือว่า จริงๆ เขาก็คิด
แต่เลือกจะไม่สนใจ


ไม่รู้สิ

Monday, May 22, 2006

วังพญาไท





















วันอาทิตย์
นัดรุ่นพี่ไปถ่ายรูปกันที่วังพญาไท

จำผิดคิดว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาลสงฆ์
ทั้งที่จริงๆ อยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏต่างหาก

เดินไปถึงปรากฏว่าวันอาทิตย์เขาปิด
ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปข้างนอก
เป็นการฝึกฝีมือ

เสร็จแล้วก็ไปจตุจักร
แค่ตั้งใจว่าจะไปซื้อเปล และไฟล์ชีท
เตรียมตัวไปเที่ยวป่า

ปรากฏว่าได้เปลมาในราคา 350 บาท ไม่เกินงบ
ได้สายผูกไฟล์ชีทมา แต่ไม่ได้ไฟล์ชีท

แล้วก็เดินไปดูเป้เล่น
แบบว่าเล่นๆ จริงๆ
แต่ก็ตัดสินใจซื้อมา ในราคา 2500 บาท

ก่อนซื้อก็ด่าตัวเองเล็กน้อยว่า
ทำไมไม่ยอมซื้อมาจากเนปาล
เพราะรุ่นพี่ซื้อแบบใกล้เคียงกัน
มันแค่หกร้อยกว่าบาทเอง

แต่ก็ไม่เป็นไร
ก็อยากได้นิ

Monday, May 15, 2006

Don't explain yourself, you'll never see





- ๑ -


จิม ทอมสันป์ เคยพูดเอาใว้ว่า

"จงใช้ชีวิต ให้เป็นตำนาน"

นั่นอาจจะเป็นความหมายเดียวกันกับ
ที่ชาวบาหลีเชื่อว่า

"จงอยู่อย่างผู้มีเกียรติ และตายไปอย่างผู้หยิ่งใหญ่"

ทัศนคติในแบบนี้ คงมีอยู่ทุกหนทุกแห่งของโลก
ทัศนคติในแบบที่เชื่อว่า เราจำเป็นต้องมีตัวตน
และ ตัวตน ของเราจำเป็นต้องถูกจดจำ
เราควรจะกลายเป็นตำนาน หรือมีอนุสรณ์สถานให้ระลึก

ทัศนคติแบบนี้น่าจะมีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ว่า
อุดมคติของคนส่วนมาก คือ ความดี
การถูกจดจำ หรือ ความหยิ่งใหญ่มันคือ
การเป็นคนดี สร้างสมความดีให้มากที่สุด
เมื่อเราตายไป เราก็จะถูกจดจำ
และกล่าวขานถึงเป็นตำนานแห่งความดี

แล้ว ยุคสมัยนี้
คนยังเชื่ออย่างนั้นกันอีกหรือเปล่า
อุดมคติของคนส่วนมากยังเหมือนเดิมหรือไม่


ฉันเองก็ตอบไม่ได้


ในยุคสมัยที่ปัจเจกชนเจริญถึงขีดสูงสุด
เราไม่ต้องการสร้างอนุสรณ์สถานเพิ่มเติม
เพียงแค่ที่มันมีอยู่ก็มากเกินพอที่จะระลึกถึง

มนุษย์ไม่ได้อยากถูกจดจำในฐานะวีระบุรุษ
แต่อาจจะขอพื้นที่แค่ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง
หาก จิม ทอมสันป์ ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะเปลี่ยนคำพูดใหม่






- ๒ -



"ไม่มีกิจกรรมอะไรเลยเหรอ มีแต่เดิน เดิน"
"ดูเหงาๆ เนอะ มีแต่รูปภูเขากับภูเขา"
"ไม่ค่อยสวยเหมือนในหนังสือเนอะ"

เพื่อนของฉันแสดงความคิดเห็น
ระหว่างนั่งดูรูปที่ฉันและเพื่อนๆถ่ายมาจากทริปเนปาล

อารมณ์ ความรู้สึก และบรรยากาศต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกับตอนที่ฉันและเพื่อนๆ นัดกันดูรูปที่พวกเราถ่ายกันมา


ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้พยายาม รวมทั้งพยายามจะไม่
นำเสนอรูปถ่ายของฉันและเพื่อนๆ ที่เกิดจากทริปต่างๆ
ให้คนที่ฉันรู้จักทุกคนได้ดู ได้เห็น แบบฉัน
เพราะฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว
ประสบการณ์ที่บอกฉันว่า ความชอบ เป็นเรื่องส่วนตัว
หากเรากำลังเล่าว่าเราประทับใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่อีกคนกลับรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสิ้นดี
ก็จะดูเหมือนกับว่า ทั้งคนเล่าและคนฟัง จะเสียเวลาเปล่า

เพราะฉะนั้น เราทำเรื่องที่ชอบเหมือนกันดีกว่า
หรือไม่เช่นนั้น ต่างคนต่างทำเรื่องที่ตัวเองชอบ

ฉันเชื่อเช่นนี้มานานแล้ว

แต่ในบางครั้ง เช่นครั้งนี้
เพื่อนพยายามคะยั้นคะยอขอดูรูป
และฉันก็คิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร
หากเราจะแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นฟัง
เพราะฉันและเพื่อนๆประทับใจในทริปครั้งนี้มาก
พวกเรากำลังวางแผนเพื่อจะกลับไปในทริปที่มีความคล้ายๆกัน

แต่ฉันคิดผิด

เพราะฉันเสียทั้งความรู้สึก
และก็เสียเวลาเปล่า

ตลอดเวลาที่เพื่อนนั่งดูรูป
และแสดงทัศนะ
ฉันได้แต่คิดว่า

"จงใช้ชีวิต
ให้เป็นตำนาน
ส่วนตัว"



- ๓ -


ฉันและเพื่อนๆ กำลังวางแผนไปเที่ยว
Everate Base Camp - EBC
เคยคุยกับรุ่นพี่ที่เคยไปมาแล้ว
เขาบอกว่ามันก็ลำบาก แต่ก็พอจะไปไหว

ล่าสุดมีคนไปเที่ยว กลับมา
ดูจะเสียงคนรอบข้าง
สรรเสริญ ยกย่อง ราวกับวีระบุรุษ

ฉันจึงเมลล์ถามรุ่นพี่คนไปเคยไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ถามแปลกๆว่า
EBC มันยากมากเกินคนธรรมดาไม๊
ฉันเชื่อมาตลอดว่า
มันเป็นแค่ที่ทางของคนที่ชอบ คนที่พยายาม
เป็นปุถุชนคนเดินดินไม่ได้ต้องถึงขั้นเป็นเป็นวีระบุรุษ
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันขอบาย
ฉันไม่ชอบวิถีแบบนี้
พร้อมทั้งสำทับไปว่า ฉันมีคติว่า

Live your life
to become the legend
for your own


รุ่นพี่ เมลล์มาบอกว่า
ย้ำอีกว่า มันก็ยากมากอยู่เหมือนกัน
แต่ไม่ต้องถึงกับเป็นวีระบุรุษ
พร้อมทั้งย้อนกลับมาว่า

"เอ็งก็ไปเที่ยวแล้วก็อย่าบอกใครซะ ก็หมดเรื่อง
ทำเป็นเรื่องมากไปได้ กลัวอะไรกันแน่
แล้วที่ไปเที่ยวมาแล้วกลับมาเขียนกระทู้โครมๆ
แปลว่าอะไรเหรอ ถามตัวเองดีๆ "

อืม
นั่นนะสิ

หรือว่า จิม ทอมสันป์ จะพูดเพราะรู้ว่า
ท้ายที่สุดแล้ว ปุถุชนคนเดินดินทุกๆคน
ก็ต้องการการมีตัวตน ต้องการการยอมรับ
และต้องการพวกพ้องที่คิดเหมือนกัน

หรือว่า ฉันจะต้องเติมความเชื่อส่วนตัวใหม่


"จงใช้ชีวิต ให้เป็นตำนาน
เก็บใว้เป็นส่วนตัว
รอแบ่งปันกับคนนั้น"

Live your life to become the legend
for your own
Waiting to Share with yours special

555

Sunday, May 14, 2006

หนังสือใหม่ของนักเขียนเก่าๆ



ระยะนี้อ่านหนังสือเป็นเล่มๆน้อยลง
ไม่ใช่เหตุผลของการไม่มีเวลา
เพียงแต่การอ่านถูกใช้ไปกับสารให้รูปแบบอื่นมากกว่า

ในกลุ่มของหนังสือเล่มเอง
ส่วนใหญ่ก็อ่านหนังสือท่องเที่ยวเป็นหลัก
และพยายามอ่านฉบับภาษาอังกฤษ
เพราะอย่างน้อยก็ได้ทำการพัฒนาภาษาไปด้วย
และแน่นอน อัตราการอ่านก็ช้าลงไปด้วย

จากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา
ได้หนังสือมาสี่เล่ม และสามเล่มที่อ่านจบไปแล้วก็มีดังนี้





ภูมิคุ้มใจ
เรื่องและภาพ โดย เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย

งานเขียนความเรียงของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง
แต่เป็นข้อคิด มุมชีวิต ของเธอ

งานเขียนแนวนี้ออกมาเยอะในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เล่มนี้ก็อยู่ในมาตรฐานเดียวกับเล่มอื่นๆ
น่าพอใจ อ่านง่าย ได้แง่คิดแบบง่าย
ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาแบบเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย

เล่มนี้ไม่เหมาะแก่คนที่ชอบอะไรใหม่ๆ





ปุชิตา โดย บินหลาสันกาลาคีรี
นวนิยายขนาดยาวจากนักเขียนรางวัลซีไรต์

อยากบอกว่า ตอนอ่านนึกถึงละครเรื่อง เก็บแผ่นดินที่สิ้นชาติ
อารมณ์ประมาณนั้น

ปุชิตา เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศสมมุติชื่อคีรีสถาน
ชาวไทยชื่อ ปิ๊ปบี่ เดินทางไปเที่ยวที่นั้น
และไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์การกู้ชาติ
เจ้าหน้าที่ทูติไทยชื่อ ต้นกล้า ที่ประจำอยู่ที่นั่น
พยายามช่วยเธอ และก็พลอยตกกระไดพลอยกระโจนไปด้วย
อีกหนึ่งคือ ภีมะ หัวหน้ากองกำลังกู้ชาติ
ที่พยายามต้อสู้เพื่อ ปลดปล่อย สิงขร ออกจากคีรีสถาน

ตัวละครหลักคือสามคนดังกล่าว

ความน่าสนใจของนิยายเล่มนี้คือ
การสร้างบุคลิกให้กับตัวละคร

ปิ๊ปปี่ คือมาตรฐานนางเอกนิยายไทย
จบอักษร น่ารัก ฉลาด นิสัยดี จิตใจงาม
รักความถูกต้อง กำพร้าพ่อแม่ และก็หยิ่งในศักศรี

ต้นกล้า คือ พระเอกในแบบฉบับของพระเอกเมืองกรุง
จิตใจดี อาจจะทำอะไรผิดพลาดได้บ่อย
แต่ก็น่าให้อภัยในแบบฉบับของพระเอก

และ ภีมะ คือ พระเอกในแบบฉบับที่พระเอกบ้านนอก
พูดน้อย แข็งแกร่ง เสียสละ แต่ก็รับผิดชอบ
เป็นทุกกระเบียดนิ้วของพระเอกนิยายบู้ๆ

แม้ คีรีสถาน คือประเทศสมมุติ แต่ผู้อ่านทุกคน
ที่ไม่ทำตัวอ่อนด้อยจนเกินไป ก็ต้องรับรู้ได้ว่า
มันถูกเขียนมาจากประวัติศาสตร์ของชนชนลุ่มแม่น้ำโขง
ในคาบสมุทรอินโดจีน

ภาพภูมิประเทศที่ถูกบรรยายใว้
ทำให้นึกถึงลุ่มแม่น้ำอิรวดี ทุ่งเจดีย์แก่งพุกาม

จริงๆ นี่คือความน่าสนใจของนิยายเรื่องนี้อีกส่วนหนึ่ง
เพราะเรื่องแต่งที่ได้รับการยอมรับ
ย่อมถูกสร้างมาจากข้อมูลจริงๆ
จินตการยืนอยู่บนพื้นฐานของความจริง
ย่อมทำให้คนอ่านรู้สึกได้ว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริง
หากจินตการที่ไร้ซึ่งพื้นฐานข้อมูลจริง
ก็ย่อมกลายเป็นนวนิยายดาดที่มีอยู่เต็มประเทศ

แต่ข้อด้อยที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้คือ
เมื่ออ่านจบก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ






เรื่องรักเบอร์ห้า
'ปราย พันแสง

หนังสือรวบรวมจากงานเขียนคอลัมน์
ที่ปราย พันแสงเขียนเกี่ยวกับเรื่องรัก
เรื่องรักที่ปรากฏอยู่ในผลงานของคนเหล่านี้

Jimmy Liao
นักเขียนหนังสือประกอบภาพจากไตหวัน ที่น่าสนใจมากๆ

Haruki Murakami
นักเขียนที่น่าสนใจจากญี่ปุาน

Wislawa Szymborska
กวีรางวัลโนเบลจากโปแลนด์

Paul Morrison
จากภาพยนตร์ Solomon & Gaenor

Michael Haneke
จากภาพยนตร์ The Piano Teacher

Ian McEwan
คุ้นๆ ว่าเป็นนักเขียนรางวัล พูลิชเชอร์ - อันนี้ข้าพเจ้าคิดเอง

Hur Jin-ho
จากภาพยนตร์เรื่อง One fine Spring Day

แต่อย่าถามว่าอ่านแล้วมีอะไรติดอยู่ในหัวบ้าง
จำไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องของอารมณ์เป็นหลักนะ

Thursday, May 11, 2006

คุ ณ - ภ า พ ชี วิ ต









ย่านใจกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยตึกสูง





ยังมีตึกอยู่ตึกหนึ่ง
ที่ประกอบไปด้วย
มุมอ่านหนังสือนอกระเบียง
ที่สามารถแหงนมองฟ้าได้เต็มตา













มุมนั่งเขียนนั่งสือเงียบๆ หรือ หรือเลือกจะท่องเที่ยวไปทางสายตา







เอนหลังดูทีวี หรือออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรง












ชำระล้างร่างกาย
รับประทานอาหาร
แล้วเข้านอน



ทั้งหมดนี้
อาจจะเข้าข่ายคุณภาพชีวิตที่ดี

แต่รู้ไหม
ต้นทุนมันเท่าไหร่