Friday, December 22, 2006

สำรวจความต้องการ

อยากได้กล้องใหม่
ความต้องการหลักๆ คือ
กล้อง DSLR
ตัวที่เล็กๆ เบาๆ
ประมาณว่า เวลาใช้
ไม่ดูเอิกเกริกเกินไป

CANON 400D
คือตัวที่หลายคนแนะนำ
หลายวันมานี้
จึงทำการเดินสำรวจข้อมูล
ราคากล้องหิ้วก็ 29760 บาท
ถ้าประกันศูนย์ก็ 33500 บาท


ตอนนี้ก็เลยนั่งคิด นอนคิด เดินก็คิด
ตกลง ตรู จะถอยดีไม๊

แล้วน้ำหนักขนาดนี้
หากไปเดินป่า
มันจะเป็นภาระขนาดไหน

แล้วถ้าเป็นทริปง่ายๆสบายๆ
มันจะคล่องตัวไหวฟระ

ตกลงกล้องที่เหมาะกะการเที่ยวแบบตรู
มันควรเป็นยังไงฟระเนี่ย

3 หมื่นกว่า
ลงทุนมากเกินไปไหมฟระ


คิดเลยไปถึงว่า

ตกลงตรู
จะถ่ายรูปไปทำไมฟระ


ไม่ได้คำตอบสักอย่าง


รู้แต่ว่า
ถ้าไปเที่ยวก็ต้องถ่ายรูป
เพราะล่าสุดที่ไปเที่ยวแล้วไม่มีกล้อง
มันรู้สึกแปลก แปลก
คล้ายๆ กับว่า
ไม่มีหลักฐานว่าไปมาแล้ว



[ข้อความข้างต้นทั้งหมด ยังคิดไม่เสร็จ]




พอวันนี้มีเวลา
ก็เลยมานั่งคิดต่อ

ถ้าไปเที่ยวแล้วต้องถ่ายรูป

ผมเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วทำไมต้องรู้สึกแบบนี้
แล้วการรู้สึกแบบนี้ มันเป็นการยึดมั่นถือมั่นไหม

ฟังดูเหมือนคนคิดมาก
แต่ผมสนุกกับการคิดมากแบบนี้แล


ผมเริ่มรู้สึกเมื่อไหร่ว่า
เวลาไปเที่ยวต้องถ่ายรูป

ไม่ช่ายสมัยประถมแน่ๆ
เพราะสมัยนั้นไม่ได้เที่ยวไหนเลย
แม่ไม่ชอบไปเที่ยวไหน - อ้างแม่
ส่วนผมก็ชอบนอน

มัธยมต้น หรือเปล่า
เพราะตอนนั้นสมาชิกวงโยธวาฑิต
[ซึ่งผมถูกบังคับให้เป็น]
จะต้องไปแสดงตามที่โน่นที่นี่
ถือเป็นการทัศนศึกษาไปในตัว
เพื่อนๆ บางคนก็มีกล้องไปด้วย
ผมก็มีแค่หน้าที่อยู่เฉยๆ
รอคนอื่นถ่าย แล้วชอบรูปไหนก็ค่อยจ่ายค่าอัด
ซึ่งตามที่จำได้ ไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่

มัธยมปลาย ตัดไปได้เลย
โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่
ที่เอาแต่เรียน เรียน เรียน
สองปีที่นั่น มีแค่งานเลี้ยงปีใหม่ของห้อง
ซึ่งมีรูปนิดหน่อย

ฉะนั้น คำตอบมันน่าจะเริ่มที่มหาวิทยาลัย
เปิดเทอมแรกๆ ช่วงกีฬามหาวิทยาลัย
ได้ติดสอยห้อยตามเขาไปเที่ยวภูกระดึง
พวกพี่ๆที่นำทีม ต้องถ่ายรูปมาเขียนสารคดี
ตากล้องมีเยอะแยะ

กลับมาเราก็นั่งดูรูปกันสนุกสนาน
แลกกับการดูรูปของกลุ่มอื่นๆในชมรม
ที่แยกย้ายกันไปเที่ยว

แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะซื้อกล้องเป็นของตัวเอง
ไม่ได้รู้สึกว่ากล้องเป็นเรื่องจำเป็นเลย

แต่ชอบดูรูป และฟังเรื่องเล่า
จากเพื่อนๆ พี่ๆ

จนกระทั่งผมเริ่มเที่ยวคนเดียวนั่นแหละ
กล้องตัวแรกก็เป็นกล้องฟิล์มง่ายๆ
กดอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลย
ความรู้สึกตอนนั้นคือ
ผมต้องการถ่ายรูปใว้ประกอบความจำ

แล้วกล้องตัวถัดมาก็เป็น Canon A60
กล้องดิจิตอล เพราะอยากประหยัด
ต้องการถ่ายเยอะๆ ไม่อยากพกฟิล์ม
แถมไปเที่ยวคนเดียวตั้ง 9 วัน
แล้วก็ซื้อก่อนเดินทางหนึ่งวัน

หลังจากนั้นก็ใช้ตัวนี้มาตลอด
ไปไหนมาไหน ก็ถ่าย ถ่าย ถ่าย

ครั้งหลังๆก็เริ่มรู้สึกว่า
ทำไมรูปของเพื่อนมันสวยกว่าของเราฟระ
ในเมื่อพัฒนาฝีมือไม่ได้
ก็พัฒนาอุปกรณ์ดีกว่า

ลังเล ลังเล
อยากได้กล้อง DSLR มานาน
แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจซื้อ

เพราะยังมีหนอนตัวเก่า
ที่ใช้งานได้อยู่
จนกระทั่งมันหมดอายุขัย

ตอนนี้เลยไม่มีกล้อง
แต่ก็ปลอบใจไปว่า
ลองใช้กล้องจากมือถือดู
เพราะว่ามันกลับไปสู่จุดเริ่มต้น
ถ่ายรูปเพื่อประกอบความจำ

แต่ตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่า
หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
ความเคยชินมันถูกสร้าง
จนกลายเป็นความจำเป็นไปแล้ว

แสดงว่า
ผมเริ่มรู้สึกมาตั้งแต่สมัยละอ่อน
ว่าเวลาไปเที่ยวต้องถ่ายรูป

งั้นคำถามต่อเนื่องคือ
แล้วมันแก้ไขได้หรือเปล่า
จำเป็นต้องแก้ไขไหม

เพราะมันมีหลายครั้ง ที่ผมรู้สึกว่า
ช่วงเวลาดีๆทั้งหลายนั้น
แทนที่ผมจะสัมผัสมันโดยตรง
ผมกลับเห็นมันผ่านเลนส์ ซะงั้น

ยังไม่มีคำตอบสำหรับทุกข้อสงสัยหรอก
ปล่อยให้คำถามมันค้างใว้อย่างนี้แหละ
เดี่ยวความรู้สึกมันจะตอบผมเอง

ผมเชื่อแบบนี้เสมอ

และตอนนี้ความรู้สึกมันก็ชัดเจนว่า
ผมต้องการกล้องใว้ถ่ายรูป
กล้องที่เป็นกล้องจริงๆ

ส่วนจะเป็นกล้องรุ่นไหน
ราคาเท่าไหร่

ค่อยว่ากันอีกที

Monday, December 18, 2006

What do you think about happiness ?

หากนับตามจำนวนแผนการท่องเที่ยวที่ฉันวางใว้
ฉันคงท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมของโลกแล้ว

ถึงสิบแผนการณ์
ที่จะเกิดการเดินทางจริงเพียงแค่หนึ่ง
ฉันก็ยังไม่เลิกวางแผน

แม้เพื่อนบางคนจะบอกว่า
ความสุขของฉันคือการได้วางแผนเที่ยว
แล้วก็ไม่ได้เที่ยว

ฉันก็ยังวางแผนมันต่อไป


สำหรับปลายปีนี้
แผนการของฉันมีทุกรูปแบบ
แต่แผนที่ดูใกล้ความจริงก็พอจะมี

นิวซีแลนด์

เส้นทางนี้ถูกวางแผนการอย่างละเอียด
ทุกอย่างพร้อม ทั้งวันลา และสมาชิก
แต่สุดท้ายก็แห้ว เพราะหนึ่งในสมาชิกถอนตัว
เหลือเพียงฉันกับรุ่นพี่อีกคน ซึ่งเป็นผู้หญิง
เราทั้งสองลงความเห็นว่า มันไม่เหมาะที่จะไปสองคน
ด้วยเหตุผลนานา ประการ
แผนการณ์นี้ จึงต้องล้มเลิกไป


เมื่อแห้วจากนิวซีแลนด์
ฉันก็หันไปสบเพื่อนอีกฝ่าย
ชวนกันไป Everate Base Camp
แต่พอเอาเข้าจริง ทุกคนบอกว่าหนาวเกินไป
ขอย้ายไปเดินเดือนอื่น
เอาแบบที่มนุษย์ที่ราบแถวเส้นศูนย์สูตรพอจะทนไหว
ฉันก็เห็นด้วย
แผนการณ์นี้ จึงต้องล้มเลิกไป


แผนการณ์ที่สาม คือ แชงกรีล่าของจีน
ประมาณเมืองต่าลี่ ลี่เจียง
แผนนี้เพื่อนเป็นคนชวน
พวกมันต้องการไปฮันนี่มูนกันนั่นแหละ
ฝ่ายชายนั้นคือเพื่อนสนิท
ฝ่ายหญิงคือคนที่เคยสนิทมากๆคนหนึ่ง
ก็เกรงว่าจะสร้างปัญหา เป็นก้อนไม้ตลอดทริปก็คงไม่ไหว
ก็เลยมีอันต้องของบายไปก่อน
ใว้คู่นี้ชวนอีกที ก็ว่าวันใหม่

แผนการณ์ที่สี่ คือ หลวงพระบาง
ออกแนวปลอบใจคนไม่ได้ไปนิวซีแลนด์
ดูเหมือนมันจะแทนกันได้ยังไงไม่รู้
นิวซีแลนด์ ถูกแทนที่ด้วย หลวงพระบาง
ฉันยังทำใจไม่ได้ ก็เลยขอบาย

แล้วแผนการณ์อื่นๆ ก็ทยอยกันเข้ามา
ไม่ว่า สิกขิม แคชเมียร์ เกาหลี อียิปต์
เยอะแยะไปหมด
คาดว่าสุดท้ายน่าจะเป็น กลับบ้าน

ซึ่งเมื่อพูดประโยคนี้ออกไป
ดูเหมือนทุกคนรอบตัว ดีใจกันมากๆ
เหมือนกับว่า สมน้ำหน้า ยังไงยังงั้น


เมื่อไม่ได้ท่องเที่ยวจริง
ก็ทำการแก้ขัดด้วยการอ่านหนังสือไปก่อน
เริ่มจาก







ใต้หมวกหิมะ


บันทึกการเดินทางไปนั่งวาดรูปที่แคชเมียร์
ของพี่เพลงแม่น้ำร้อยสาย

แค่ฟังประโยคข้างบนก็สุดยอดของความเท่ห์เลย
พี่เพลงดาบชอบเขียนเหมือนกับว่า
พี่เป็นคนธรรมดามากๆ
ทั้งที่สิ่งที่พี่ทำนะ
มันติสท์ สุดๆ

อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ยิ้มได้
ชอบงานเขียนเรื่อยๆของพี่เพลงดาบเป็นทุนอยู่แล้ว

ตอนอ่านก็นึกว่า
พี่เพลงดาบชอบเดินทางคนเดียว
แต่ฉันไม่ค่อยชอบ
ด้วยเหตุผลง่ายๆคือ
ปกติก็อยู่คนเดียวมากพอแล้ว
เวลาเที่ยวขอมีเพื่อนหน่อยเถอะ



เล่มต่อมา เสียวสิกขิม
(หารูปปลากรอบไม่ได้ สงสัยไม่มีคนอ่านแหงมๆ)


บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวในสิกขิม
ของเสียวจันทร์ แรมไพร

ปกติฟังเรื่องเล่าสิกขิมมาบ่อยแล้ว
และส่วนมากเพื่อนๆ เล่าได้สนุกกว่านี้
ภาพสวยกว่านี้
การเดินทางน่าสนใจกว่านี้

แหะ แหะ แหะ
คือว่าเพื่อนฉัน
มืออาชีพมากกว่านี้อะ

หรือว่าเป็นเพราะ ทริปนี้เขาไปกับทัวร์
เป็นทริป ศิลปิน โดย รอน แรมทาง แห่ง TGM เป็นคนจัดการหมด
ก็เลยรู้สึกจืดๆไปหมด








สองเงาในเกาหลี


เหตุผลของการซื้อมาไม่มีอะไรมาก
อยากรู้ว่าฝีมือการเขียนหนังสือ
ของ บอกอ aday คนนี้เป็นไงบ้าง

เพราะคุณโหน่ง เขียนหนังสือดีมาก
วชิรา ก็เขียนหนังสือท่องเที่ยวสนุก
แล้ว ทรงกลด ละ เขียนเป็นไง
วัดกันในเรื่องเที่ยวเลยนะ

ยังไม่ทันได้อ่าน
รุ่นพี่ก็รีวิวหนังสือเรื่องนี้ในวงสนทนา
ฟังจากที่รุ่นพี่เล่า ฉันกับเพื่อนสงสัยกันว่า
หนังสือเล่มนี้ เล่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
ในวันนี้ความเชื่อของฉันเอนเอียงไปทางเรื่องแต่ง

เรื่องเล่าของหนึ่งหนุ่มนักเดินทางเดี่ยว
ที่ไปพบเจอกับสาวไทยนักเดินทางเดี่ยว

หนุ่มเป็นนักเขียน ชอบบันทึก
สาวเป็นนักวาด และเล่นละครเวที
ฟังดูมันลงตัวเหมาะเจาะเกินไปไม๊

อ่านเรื่องนี้แล้วฉันนึกถึง
Before Sunrise
ผนวก กับ บทสนทนาต่างๆใน
Before Sunset

แต่ตัวหนังสือมันไม่ค่อยชัดเจน
เหมือนจะร่าเริง เหมือนจะช่างคิด
เหมือนจะปากร้าย และเหมือนจะโรแมนติค
มันก่ำกึงไปหมด โดยรวมของหนังสือเล่มนี้ก็สนุกดี

อ๋อ หากบอกว่า คนเขียนคือคนเดียวกับ วชิรา
ก็พอจะมีเค้านะเนี่ย หรือว่า
ใครจะเป็นบอกอ Aday
ต้องถอดแบบมาจากพี่โหน่ง 555







ผู้ชายร้อยประเทศ


เรื่องเล่าเบื้องหลังการถ่ายรายการของ
สรรเสริญ ปัญญาธิวงศ์

สาเหตุการซื้อง่ายๆคือ
อยากได้ วีซีดี เส้นทางสายไหม
เพราะอยากไปมาก

สรรเสริญ เขียนหนังสือ
อ่านสนุกมากกว่าตอนฟังเขาพูดในรายการ

มันทำให้ฉันยิ่งมั่นใจว่า
แม้จะเล่าเรื่องเดียวกัน
เสน่ห์ของหนังสือ
และตัวอักษรมันต่างจากสื่ออย่างอื่นจริงๆ





เปิดประตูสู่ แชงกรีล่า


เรื่องเล่าสไตล์ กาญจนา หงษ์ทอง
ครั้งนี้เป็นการเดินทางไป แชงกรีล่า

ก็เหมือนเดิม
สนุกแบบเดิม

เดินทางตามด้วยอีกต่างหาก



หนังสือทั้งหมดใช้เวลาอ่านนิดเดียว
เวลาหลักๆที่เสียไปคือเล่มนี้

Bookends ของ Jane Green
เพราะอ่านฉบับภาษาฝรั่ง
แบบว่า อยากฝึกภาษาอะ
ก็เลยกว่าจะแกะจนหมดเล่ม

แถมยังไม่กล้าวิจารณ์อะไรมาก
เพราะกลัวอ่านหนังสือไม่แตก
แปลมาไม่ครบ

เอาเป็นว่าหากมีเวลาอ่านภาษาไทย
แล้วจะมาชำแหละให้คนที่ชอบเรื่องนี้ฟัง
เพราะฉันมันพวก ขวางโลก หุหุหุ


แล้วอีกเล่มที่กำลังอ่านคือ



Amrita ของ Banana yoshimoto
ฉบับภาษาฝรั่งอีกเช่นกัน
ซึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะอ่านจบ
เพราะอ่านเฉพาะบนรถไฟฟ้า
เวลากางออกมาอ่านดู ไฮโซ มักๆ

ซึ่งจากที่แกะมาได้ 10 กว่าหน้า ก็สนุกดี

Saturday, December 16, 2006

วาระ ของชีวิต ... 2

10 ธันวาคม

มาเชียงใหม่ เดือนธันวาม
ต้องเจออากาศหนาว

ใครๆ ก็คงคาดหวังอย่างนี้

เมื่อดอยสุเทพยังไม่มีอากาศหนาวให้เจอ
เราก็ต้องดั้นด้นไปสู่ที่ที่เราแน่ใจว่า
จะต้องเจออากาศหนาว

เรานัดรถตั้งแต่ 8 โมงเช้า
เป้าหมายคือ ดอยอินทนนท์
แต่ช่วงเช้าเราต้องตระเวนหาบัตร
สำหรับงานพืชสวนโลกก่อน
กว่าเราจะสามารถออกจากเมืองจริงๆก็ 11 โมงเช้า
ประมาณบ่ายโมง
รถตู้ของเราก็ต้องจอดบริเวณพระธาตุ
เพราะไม่สามารถไปต่อไปแล้ว
รถเยอะมากๆ ตามที่คาดการณ์ใว้

ยังไงมาอินทนนท์ก็ต้องถึงยอดมันให้จงได้

เราคิดและเชื่อกันแบบนี้
เราจึงต้องเหมารถสองแถวขึ้นไป

เมื่อถึงยอดอินทนนท์ดังที่พยายาม
แต่อากาศหนาวก็ไม่มีอยู่ที่นั่น
มันเกินความพยายามของเราแล้วละ
คงได้แต่ทำใจ

ครั้งแรก(เมื่อหลายปีก่อน)ที่เดินในป่าอ่างกา
ผมตื่นตาตื่นใจมาก
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
เพราะประสบการณ์มันต่างไปแล้ว

หากเปรียบเส้นทางป่าโบราณบนที่สูงบนยอดอินทนนท์
เหมือนภาพยนตร์โฆษณาขนาดสั้นมากที่เราได้ผ่านตา
และมหากาพย์ของภาพยนตร์เรื่องนี้
เส้นทางจาก Poon Hill จนถึง Naya Pul
บนเทือกเขาหิมาลัยเดียวกัน ที่ตั้งอยู่ในประเทศเนปาล

พวกเราลงจากยอดอินทนนท์ด้วยการโบกรถ
และแวะพระธาตุตามาตรฐานการท่องเที่ยว
ก่อนที่เราจะต้องรีบบึ่งรถกลับมาสู่งานพื้ชสวนโลก

พวกเราเข้าสู่งานพืชสวนโลกประมาณเกือบหกโมง
ฟ้ากำลังเริ่มมืด แสงไฟจากสวนต่างๆเพิ่งเริมสว่าง

งานพืชสวนโลก สวยกว่าที่ผมคิดใว้

หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาในงานพื้ชสวนโลกจนกระทั่งสามทุ่ม
แล้วจึงไปทานอาหารต่อที่ร้าน Good View

เป็นอันจบสิ้นไปอีกหนึ่งวันที่เชียงใหม่

หนึ่งวันที่ยังไม่เจออากาศหนาว
ทั้งๆที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปจนถึงจุดสูงสุดในสยาม


วันที่ 11 ธันวาคม

เพื่อนส่วนใหญ่แยกย้ายกันกลับไปแล้ว
นึก ๆ ก็ใจหาย
ไปไม่รู้ว่าพวกเราจะได้มีโอกาสเจอกันอีกเมื่อไหร่
เพราะวาระแห่งชีวิตแบบนี้ มันเริ่มจะหมดลงไปเรื่อยๆ

สมาชิก สามคนที่เหลือ คือคนที่วาระแห่งการแต่งงานยังมาไม่ถึง
หนึ่งนั้น เป็นคนเชียงใหม่ แต่ทำงานอยู่ในกรุงเทพ
มีแนวโน้มมาหลายปี แต่ยังไม่มีความแน่นอนอันใด

อีกหนึ่ง กำลังเรียนปริญญาเอก แนวโน้ม น้อยยิ่งกว่าน้อย
เพราะมนุษย์อย่างเพื่อนคนนี้ มีความสุขและบรรลุธรรม
เกินว่าจะหาเรื่องใส่ตัว (เหตุผลของมัน - ใครจะเหมาะเข้ากับมันได้
เก่ง ฉลาด นิสัยดี เชื่อมันในตัวเองมากๆ และ เต็มไปด้วยเหตุและผล)

ส่วนอีกหนึ่ง คือ ผมเอง


วันนี้เราเริ่มต้นวันสายๆ
ค่อยๆตื่น ค่อยๆจัดการเรื่องต่างๆ
รอจนเพื่อนของเพื่อนมารับ
เพื่อจะไปกินข้าวซอย

เราตั้งใจกันว่าจะลองมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่
แบบที่นักท่องเที่ยวควรจะท่องเที่ยวในเชียงใหม่จริงๆ

หลังจากกินข้าวซอยอิ่มแล้ว
เราก็ถอดใจ เพราะนึกไม่ออก

ทางเลือกสุดท้ายคือ ผมกับว่าที่ดอกเตอร์
ไปเดินงานพืชสวน ส่วนอีกคนก็กลับไปอยู่กับพ่อแม่

และผมก็ได้เดินงานพืชสวนอีกรอบ
โดยต่างคนต่างเดิน
ผมรู้สึกสนุกกับการท่องเที่ยวคนเดียวเป็นอย่างมาก
มันรู้สึกว่า อยากดูอะไรนานก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจใคร
อยากข้ามตรงไหนก็ได้ ชอบมาก

ตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็น
เป็นเวลาที่มากพอที่จะทำให้ผมเก็บรายละเอียด
ส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดของงานพืชสวนโลก

ออกจากงาน เราก็แวะไปเก็บกระเป๋าที่บ้านเพื่อน
แล้วพี่ชายของเพื่อนก็พาไปทานข้าวที่ร้านอาหารบ้านๆ ที่ชื่อ ยอดแซบ
ซึ่งนับเป็นมืออาหารที่อร่อยมาก

ผมจะจำชื่อใว้ ว่าหากเจอร้านยอดแซบ ที่ไหน ก็ให้แวะทาน
เพราะพี่ชายเพื่อนบอกว่า เป็นสาขาเดียวกันทั้งหมด
รสชาดจะใกล้เคียงกัน

แล้วด้วยความเพลิดเพลินกับอาหาร
ก็ทำให้เราต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปขึ้นรถ

ได้ที่นั่ง เราก็หลับทันที




12 ธันวาคม

ประมาณ 5.30 น
รถทัวร์ก็นำเราสู่หมอชิต
เพื่อนคนหนึ่งลงก่อนแล้ว
โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย

กว่าจะเรียก Taxi ได้
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม Taxi ชอบปฎิเสธ
ทั้งๆที่เขตที่ผมพักคือใจกลางเมือง มาก มาก

ถึงที่พัก อาบน้ำ อาบท่า
ตั้งใจว่าจะนอนพักสักหน่อย
แล้วค่อยตื่นมาทำงานที่รับปากว่าจะส่งวันนี้
(โดยการหยุดงาน ซะงั้น)

แต่ปรากฏว่า ตื่นอีกที 5 โมงเย็น
กว่าจะได้นอน ก็ปาเข้าไปตีสาม

เฮ้อ ชีวิต


13 - 16 ธันวาคม

ตื่นสายๆ
ถึงที่ทำงานสายมากๆ
นั่งทำงาน
ยุ่งมากๆ

กว่าจะเสร็จงาน
ก็เกือบ 4 ทุ่ม
นั่ง Taxi ถึงที่พัก
หมดแรง
ไม่มีเวลาทำงาน Freelance ที่รับปากต้องส่ง


เฮ้อ ชีวิต


สงสัยต้องเคร่งครัดกับ
กฏข้อที่หนึ่งของชีวิตให้จงได้ซะที

Wednesday, December 13, 2006

วาระ ของชีวิต ... 1

8 ธันวาคม

10.30 แบกเป้ใบโตเข้าที่ทำงาน
เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อยู่ห้องประชุม
ข้าพเจ้าไม่อยากเข้าประชุม
จึงเลี่ยงไปเดินตรวจงานแทน

11.30 ที่ประชุมเลิก
ทุกคนเดินเข้ามาเห็นเป้แล้วตกใจ
สอบถามว่าข้าพเจ้าจะไปไหน ไปอย่างไร
คิดว่าข้าพเจ้าจะหนีเที่ยวนานๆ

ข้าพเจ้าได้แต่ตอบว่า
ไปงานแต่งงานเพื่อนที่เชียงใหม่
แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร
มีแค่เป้าหมาย วิธีการยังไม่ได้กำหนด

บ่ายโมง
เพื่อนโทรมาบอกว่าได้ตั๋วรถทัวร์แล้ว
รถออก 22.10 น
รู้สึกว่าลงตัวดีเหมือนกัน
เพราะจะได้มีเวลาสะสางงานต่างๆให้เสร็จ

ประมาณสามทุ่มจึงออกจากที่ทำงาน
นั่ง Taxi ไปหมอชิต 2
รถเยอะตามที่คาด
แต่ระยะทางไม่ไกลจึงใช้เวลาไม่นาน

รถออกช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย
แวะทานข้าวประมาณตีสอง

เวลาบนรถส่วนใหญ่ข้าพเจ้าหลับ
เพื่อนๆก็หลับ
เพราะก่อหน้าเดินทาง
เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็นอนดึก
เพราะสะสางงาน

นี่คือวิถีชีวิตของ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ





9 ธันวาคม

รถถึงเชียงใหม่ประมาณ 8 โมงเช้า
แวะไปหาญาติเพื่อน
เพื่อรบกวนให้ไปส่งที่พัก
สมทบกับเพื่อนที่มาถึงตั้งแต่เมื่อคืน
เพราะเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน

จัดการล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ
แล้วก็เริ่มท่องเที่ยว เพราะรถที่เช่าใว้ก็มารอนานแล้ว

ที่แรกคือ พระตำหนักภูพิงค์
คนเยอะ อากาศไม่เย็น
แต่ดอกไม้ต้นไม้ก็ยังสวยเหมือนเดิม
ข้าพเจ้าเคยมาเที่ยวที่นี้แล้ว
ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ

ออกจากพระตำหนัก
เราก็มาต่อกันที่ดอยสุเทพ
เดินขึ้นไปชมวิวกันเล็กน้อย

เสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่บ้านถวาย
บ้านถวายในภาพที่ข้าพเจ้าจำได้
กับปัจจุบันมันไม่เหมือน
ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าจำผิดๆด้วยการสร้างภาพเอาเอง
หรือว่าบ้านถวายมันเปลี่ยนไปมาก

เรามีเวลาสำหรับที่นี้ไม่มาก
เพราะต้องรับกลับไปงานแต่งงาน

งานแต่งงานเพื่อนเริ่มเวลาหกโมง
พวกเราไปถึงประมาณหนึ่งทุ่ม
ปรากฏว่าโต๊ะเต็มเกือบหมดแล้ว
และเพื่อนก็ไม่ได้จัดโต๊ะใว้สำหรับพวกเรา
จึงต้องระเห็จไปนั่งสวมรอยกับกลุ่มอื่นๆ

หลังจากพวกเราได้ที่นั่ง
แขกที่มาหลังจากนั้นก็ต้องยืน
อาหารก็ไม่เพียงพอสำหรับแขก

ไม่แน่ใจว่าเพื่อนข้าพเจ้า
จัดการแจกการ์ดและ
สำรวจปริมาณคนมาร่วมงานล่วงหน้าหรือไม่
เพราะแขกที่มาร่วมงานเกินจากโต๊ะ
เกือบห้าสิบคน

ข้าพเจ้าพยายามมองโลกในแง่ดีว่า
คู่บ่าวสาวและพ่อแม่ เป็นที่รักของแขก
แขกเลยมาร่วมงานเยอะกว่าที่คาดการณ์ใว้

ช่วงที่พิธีกรสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวบนเวทีกำลังดำเนิน
ข้าพเจ้าถามเพื่อนที่เคยผ่านประสบการณ์นี้ว่า
ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร เขินไหม อายไหม อึดอัดไหม
เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วน
ทั้งฝ่ายผู้อยู่บนเวทีและแขกที่มาร่วมงาน

หลังจากงานเลิก
พวกเพื่อนๆก็แวะไปนั่งรถดูเมือง
พวกเราขับรถผ่านถนนนิมมานเหมินทร์
เพื่อดูแหล่งท่องเที่ยวที่ hip hip ของเชียงใหม่
ก่อนจะมาจบลงที่ ไนท์ บาซ่า
และก่อนจะรู้สึกว่า มันไม่น่าสนใจเลย
ก็เลยเปลี่ยนไปนั่งกินลมชมแม่น้ำ ที่ River side

กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบตีหนึ่ง

จนถึงวันนี้
ข้าพเจ้าก็ยังไม่เจออากาศหนาวที่เชียงใหม่
และยังตอบคำถามไม่ได้ว่า
ตกลงเชียงใหม่ มันน่าเที่ยวตรงไหน


... ใว้พรุ่งนี้มาต่อ

Friday, December 01, 2006

ระวังหมดอายุ

ระวังหมดอายุ


ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า
จะยกวลีนี้
ให้เป็นวลีแห่งความมีน้ำใจ
ส่งเสริม และให้กำลังใจคนอื่น

หรือว่า
เป็นวลีแห่งโลกทรรศน์อันคับแคบ


หากคน คนหนึ่ง
ลุกขึ้นมาหัดเล่นดนตรี ตอนอายุหกสิบ

เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง
จะชอบนั่งสมาธิ และเข้าวัด

แต่พออายุ 40
กลับชอบไปเที่ยวสถานบันเทิง

อายุ ห้าสิบ
กลับชอบดูหนังการ์ตูน

พอแปดสิบ (ถ้าอยู่ถึง)
ก็อยากจะเป็นนักวิ่งมาราธอนซะงั้น

แล้วอย่างนี้
มันจะ มีปัญหาอะไรไหม


แต่ก็อีกนั่นแหละ

บางที ช่วงอายุหนึ่ง
อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด
สำหรับการทำอะไรอย่างหนึ่ง
หากเราปล่อยให้มันผ่านไป ซะงั้น
มันก็คงน่าเสียดาย


และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของข้าพเจ้า
ก็ลองตั้งคำถามกับตัวเอง

มีอะไรที่อยากทำ และยังไม่ได้ทำ
มีอะไรที่อยากทำ และลืมมันไปแล้ว
มีอะไรที่อยากทำ ได้ทำแล้ว และอยากทำอีก
มีอะไรที่ควรทำ แต่ไม่ได้ทำ
มีอะไรที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ
มีอะไรที่ไม่ควรทำ แต่กระทำมันไปแล้ว



ทุกคำถาม ล้วนไร้คำตอบ

หรือ
ข้าพเจ้ากำลังจะหมดอายุ