Friday, March 31, 2006

เล่าสู่ รู้สึกร่วม

ที่บริษัทเริ่มปลดพนักงาน
พี่พนักงานเขียนแบบคนหนึ่งเพิ่งได้รับซองขาว
คนที่เหลือก็อยู่ในอาการขวัญหนีดีฝ่อ อกสั่นขวัญแขวน


เรื่องที่เกิดขึ้นมันถูกเล่าง่ายๆ แบบนี้แหละ























































ถึงวันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า


เราอาจไม่ได้ต้องการคนที่คิดเหมือนกับเรา
แต่เรากลับต้องการคนที่รู้สึกเหมือนกับเรา

Tuesday, March 28, 2006

เรื่องของใคร

From: ...
To: ...
Subject: เรื่องของทักษิณ
Date: 26 Mar 2006


เหนื่อยแทนเลยนะพี่
เขาไม่ออกหรอก
ทำใจเถอะ

ส่วนผมก็ทำใจไปนานแล้ว


เฟิง





From: ...
To: ...
Subject: RE: เรื่องของทักษิณ
Date: 27 Mar 2006

เฮ้ย! เฟิง
เกิดเป็นคนทั้งที ทำไมขี้แพ้อย่างนี้
ไม่มีใครประสพความสำเร็จได้ในวันเดียว
พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสรู้ในชาติเดียว
ท่านเวียนว่ายตายเกิด สะสมธรรมบารมีมาหลายร้อยชาตินะ

ไอ้ที่ว่าเหนื่อยแทนน่ะ
เคยทำอะไรบ้างรึยัง?
อายคนต่างจังหวัดบ้างมั๊ย? เค้าเดินทางมา
มานอนกินกลางถนน ที่จะอาบน้ำขี้เยี่ยวก็ไม่สะดวก
บางคนก็หาเช้ากินค่ำ เป็นคนขับรถเครื่อง
บางคนมีกิจการของตัวเอง ก็ยอมปิดร้านชั่วคราว
ยอมเสียรายได้ แล้วเฟิงล่ะ?
เคยเป็นคนนึงที่อยู่รถไฟใต้ดิน เงินที่บริษัทมันจ่ายน่ะ
มันก็เงินภาษีของคนไทยนะ รวมถึงไอ้แอร์พอร์ตลิ้งค์
ที่เฟิงทำเป็นงานนอก (ซึ่งกำลังมีข่าวว่ากลิ่นไม่ค่อยดี)


จำได้มั๊ย ที่ในหลวงบอกว่า เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้
แต่ต้องไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ

ถ้าคนไทยทุกคนคิดอย่างเฟิง คนเลวคงครองโลก
เพราะคนดีๆอย่างเฟิง 'เอาตัวรอด'
ที่ต้องพูดอย่างนี้ หมายความอย่างนั้นจริงๆ
เฟิง ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว (จริงๆแล้วพี่ก็ไม่เดือดร้อนเหมือนกัน)
ถ้านายทุนชั่วช้ามันครองเมือง ก็ไม่เห็นยากหนิ

พี่ก็ไปเป็นขี้ข้ามันได้ ไปสมัครงานกับไอ้พวกสิงค์โปร์
ที่ไหนดีล่ะ tccแลนด์ อย่างพี่...
โอ๊ย! มันมีโปรเจคเยอะแยะ
รับงานมัน ยังไงเราก็อยู่ได้ มันจะดันทุรังขายรัฐวิสาหกิจ
ก็ปล่อยมันไป ดีซะอีกตลาดหุ้นจะได้บูมๆ
เราก็ไปเรียนเล่นหุ้น หัดสร้างเครือข่าย ปั่นหุ้น
ไม่ต้องเหนื่อยด้วย นั่งสบายๆในห้องแอร์

ทักษิณมันก็คงมีโครงการให้เราศึกษา รถไฟฟ้าไปเรื่อยๆ แล้วไม่สร้าง
เอาภาษีไอ้คนไทยขี้แพ้มาจ่ายให้บริษัทต่างชาติ ที่เราไปเป็นลูกจ้างมัน
เราก็ได้เศษเงินซักเดือนละ 50000 ให้มีเงินไปเล่น fitness
ไปกินอาหารร้านหรูๆ ไปดูหนังซักอาทิตย์ละหน
คิดแล้วก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย ว่ามั๊ย?

ไม่ต้องไปสนใจหรอก ไอ้พวกบ้านนอกคอกนา
ปล่อยให้มันเป็นคนงาน เป็นกรรมกรก่อสร้าง
หรือให้มันเป็นแค่พ่อค้าไข่ปิ้ง ส้มตำไปแหละ
ไอ้เด็กรุ่นหลัง อย่าหวังลืมตาอ้าปากให้เหนื่อย
เป็นลูกจ้าง เป็นมนุษย์เงินเดือนน่ะ ดีที่สุดแล้ว
ถ้าอยากรวยก็ไปหาผัวสิงค์โปร์ หรือผัวฝรั่ง
ง่ายดี เผื่อได้สัญชาติใหม่ ถ้าเมืองไทยมันเจ๊งโบ๊งไป
เราจะได้ถืออีกสัญชาติได้

ภาคใต้ก็ ช่างแม่ง.....
ทักษิณเค้าไม่เอาแล้ว เค้าเป็นนายกยังไม่แยแส
แล้วเราเป็นใคร? สะเหร่อไปห่วง
ปล่อยให้มันตายกันไปทุกวันแหละดี เสือกหัวแข็งนัก
ปล่อยให้มันลุกลาม รุนแรง
สหประชาชาติจะได้มาแบ่งแยกดินแดนให้
ดี.....ดี......ดี......

พี่ว่านะ ถ้าอีกหน่อยเรามีลูกหลาน เราส่งมันไปเรียนสิงค์โปร์ดีกว่าว่ะ
เราไอ้โรงเรียนในเมืองไทย มันคงไม่สอนเรื่องของสำนึก
คนไทยมันเลยเหลาะแหละ ขี้แพ้
ปล่อยให้ลูกไอ้พวกบ้านนอกคอกนามันเรียน
มันก็จะได้ขี้แพ้ แล้วเราก็คอยเอาประโยชน์จากความไม่สู้ของมัน
แล้วเราก็จะได้มีความสุข อยู่ดีกินดี
(จากเศษเนื้อที่พวกมหาเศรษฐีอย่างไอ้ทักษิณ หรือต่างชาติมันโยนมาให้อีกที)








From: ...
To: ...
Subject: RE: RE: เรื่องของทักษิณ
Date: 27 Mar 2006




แหะ แหะ แหะ
ร่ายยาวเลยนะพี่

ม่ายช่ายอย่างนั้น
พี่นะ ชอบเข้าใจผมผิด

ผมก็ไปประท้วงนะ
วันเสาร์ก็กลับหลังงิ้วเลิก
อ้อ เพิ่งรู้ว่า พี่ที่จะไปเนปาลด้วยกัน
เขาเล่นงิ้ววันนั้นด้วย
ไงละ พวกคนสนิทผม

ส่วนวันอาทิตย์ที่บ้านเขาขอร้อง
ก็เลยรับปากไม่ไป

ส่วนวันพุธก็คงจะแวะไป

มันไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะนะพี่
มันคือเรื่องสิทธิและประชาธิปไตย
พี่ไม่ชอบทักษิณ พี่ก็ไปประท้วง
ผมไม่ชอบทักษิณผมก็ไปประท้วง
เพื่อนร่วมงานผมรับทักษิณได้ ก็เรื่องของเขา
ต่างคนต่างความคิด



เล่าเรื่องแปลกให้ฟังอย่างหนึ่ง

พี่จำที่ผมบอกใครต่อใครว่าเชียร์ทักษิณได้ช่ายปะ
ตอนนั้นบอกใครไปก็ถูกมองเป็นตัวประหลาด
ผมยังแปลกใจเลยว่า ทำไม เขามองผมอย่างนั้น

เมื่อวานผมบอกคนอื่นๆว่า วันเสาร์ผมไปประท้วง
ผมก็ถูกมองเป็นตัวประหลาดอีกเหมือนเดิม
แต่มันอาจจะต่างกันกับครั้งแรก

ครั้งแรกมันมองแบบตั้งคำถามว่า
ไอ้นี่ โง่หรือเปล่าวะ เชียร์ทักษิณ

แต่ครั้งนี้กลับถูกมองว่า
ไอ้นี่ บ้าหรือเปล่าวะ ไปประท้วงทำไม

ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
และคิดว่าพี่คงเคยรู้สึก
ครั้งแรกผมแค่รู้สึกว่า
เออ เวลาเราคิดไม่เหมือนเขา
เขาก็มองเราแปลกๆ เลยเนอะ
อันนี้ยังเฉยๆ เพราะแค่อยากรู้

แต่พอครั้งที่สอง ผมกลับมองว่า
ในเมื่อ พวกเอ็งก็เห็นว่ามันเลว
แล้วไง นั่งอยู่เฉยๆ เหรอ
เอ็งนั่นแหละ บ้า ไม่ช่ายตรู
วันนี้ตอนเช้า ประโยคแรกที่ผมได้ยินคนพูดคือ

ไอ้พวกประท้วงเนี่ยะ
น่ารำคาญจริงๆ
จะมากันทำไมที่สยาม

และก็ได้ยินแบบนี้มาตลอด

แต่ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้
เพื่อจะบอกว่า ที่ผมพูดว่า

เหนื่อยแทนเลยนะพี่
เขาไม่ออกหรอก
ทำใจเถอะ

เพราะตอนวันเสาร์ที่ผมไป
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ผมรู้สึก เศร้า
เพราะความดีมันไม่มีพลังพอที่จะสู้ความชั่วได้

Monday, March 27, 2006

รุ่นใหญ่

เพลง รุ่นใหญ่

คำร้อง : สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา ทำนอง : วุฒิชัย สมบัติจินดา
เรียบเรียง : เพิ่มศักดิ์ ทรัพย์โมกข์ ขับร้อง : ยืนยง โอภากุล
อัลบั้ม : หนุ่มบาว - สาวปาน

กี่สิบหนาวแล้วกี่สิบฝน พ้นมากี่ฤดู
จากหนุ่มน้อยก็ก้าวมาสู่ วันเลี่ยมทองของวัย
รุ่นหนุ่ม รุ่นสาว เรียกเรา รุ่นใหญ่
แต่ไม่มีใคร เข้าใจจริง

* แก่ก็เหงา ยิ่งแก่ยิ่งเหงา เก๋าแต่กร่อยข้างใน
เหนื่อยกับงานยังฝันถึงไหล่ ใครให้ยืมซบอิง
เหมือนสุขหัวใจ พร้อมไปทุกสิ่ง
แต่ความจริง น่ะโครตเหงา

ได้แต่ยืน มองพระจันทร์ ทุกคืนดึกดื่นไปยันเช้า
ยิ่งได้เห็นฟ้าที่ไร้ดาว หัวใจเก่าเก่าก็ถอนใจ

อยากมีใครสักคนมาคอยแคร์ ดูแลหัวใจชรา
รุ่นนี้คงเหลือเวลา ไม่มากไม่มายเท่าใด
อยากมีใครสักคนมาเคลียคลอ
รอเติมเชื้อฝืนให้ไฟ ให้โลกรู้ว่ารุ่นใหญ่... ก็ใจเปลี่ยว

ผ่านชีวิตบนทางที่ยาวไกล หัวใจมันอ่อนมันล้าเกิน
ให้เดินคนเดียวมันเหงาเกินไป *

ใครจะรักรุ่นใหญ่ ใครจะสนคนแก่
ใครที่พร้อมจะเข้าใจ ใครจะรักรุ่นใหญ่
พอจะมีบ้างไหม อยากจะขออุ่นหัวใจ

กี่สิบหนาว แล้วกี่สิบฝน พ้นมากี่ฤดู
จากหนุ่มน้อยก็ก้าวมาสู่ วัยเลี่ยมทองของวัย
แก่ก็เหงา ยิ่งแก่ยิ่งเหงา เก๋าแต่กร่อยข้างใน
เหนื่อยกับงานยังฝันถึงไหล่ ใครให้ยืมซบอิง


- - - - - - -


เพื่อนบอกว่า
ทุกครั้งที่มันฟังเพลงนี้
มันจะเห็นหน้าของผมลอยมา
โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า

แก่ก็เหงา ยิ่งแก่ยิ่งเหงา เก๋าแต่กร่อยข้างใน
เหนื่อยกับงานยังฝันถึงไหล่ ใครให้ยืมซบอิง
เหมือนสุขหัวใจ พร้อมไปทุกสิ่ง
แต่ความจริง น่ะโครตเหงา

แล้วเมื่อวาน
ตอนที่กำลังร้องคาราโอเกะ
มันก็ขอเพลงนี้ แล้วก็ร้อง
ทุกคนในห้องขำกันจนเกือบจะลืมหายใจ

เฮ้อ ไอ้พวกนี้



ปล.

จริงๆว่าจะเขียนเรื่อง การเมือง เพราะวันเสาร์ไปประท้วงมาด้วย
จริงๆกว่าก็ว่าจะเขียนเรื่องความรักด้วย
แต่มันพาดพิงบุคคลที่สามเยอะไปหน่อย ก็เลยขอข้าม

Friday, March 24, 2006

สามคนสิบล้านกว่า

- ๑ -



รุ่นพี่คนหนึ่งทำหน้าตาเซ็ง เซ็ง
ผมถามว่า เป็นอะไร
รุ่นพี่ตอบว่า ก็มันไม่มีอะไรชัดเจน
เนี่ยก็เพิ่งสร้างหนี้มาหยกๆ
พวกพี่สามคนก็ปาเข้าไปสิบล้านแล้วนะ

[เรื่องความไม่ชัดเจนขอข้าม]

ผมติดใจกับคำว่า สามคนสิบล้าน
ฟังแล้วทำให้รู้สึกอะไรหลายอย่าง
ถามว่าไอ้หลายอย่างคืออะไรบ้าง ก็ตอบยาก
ตกใจ แปลกใจ ประหลาดใจ ไม่อยากได้ยิน
หรือ สงสารคนอื่น สงสารตัวเอง เศร้า
ไม่รู้อะไรที่แน่ชัดมากนัก
เอาเป็นว่ารู้สึกแปลกๆ ก็แล้วกัน

อะไรเป็นสาเหตุให้คนสามคน
อายุรวมกันประมาณร้อยกว่าๆ
เป็นหนี้รวมกันสิบล้านกว่าๆ

นี่อาจจะเป็นวิถีชีวิตปกติ
แต่มันคือวิถีที่ถูกต้องแล้วจริงๆหรือ




- ๒ -


เที่ยง วันศุกร์
หลังจากทำพิธี และฟังธรรมตามปกติ
เดินออกมา เจอบรรดาผู้คนที่ยืนรอรับบริจาค
ไม่อยากใช้คำว่าขอทาน เพราะเขาไม่ได้เป็นขอทาน

ผมหยิบเงินและก็บริจาดให้รายแรกที่เจอ
แล้วก็เดินผ่านรายอื่นๆ ไป
[บางครั้งผมก็แบ่งเงินบริจาคหลายๆคน
แต่ไม่เคยบริจาคครบทุกคนเลยสักครั้ง]

ขณะที่ซื้อขนมมาฝากเพื่อนที่ทำงาน
ผมเกิดสงสัย และตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ทำไมเราไม่บริจาดให้ทุกๆคนเท่ากัน
อะไรทำให้เราเลือกบริจาคคนนั้น ไม่บริจาคคนนี้
แล้วทำไมเราไม่เอาเงินที่กำลังซื้อขนมฝากเพื่อนร่วมงาน
ไปบริจาคให้คนที่เขายังลำบาก และต้องการมันมากกว่า
ทั้งๆที่เพื่อนร่วมงานเราก็คงมีความสามารถซื้อทานเองได้
หรือว่าลึกๆแล้ว เราหวังผลจากน้ำใจที่เราหยิบยื่นให้คนอื่น
บางที ผมอาจจะพยายามเป็นคนดี เพื่อให้คนอื่นเห็น
ไม่ได้เป็นคนดีเพราะเชื่อมันในความดี




- ๓ -



ผมอาจจะตั้งคำถามบ่อย
บางคนอาจจะเบื่อกับการตั้งคำถาม
บางคนอาจจะบอกว่าการทำแบบนี้ เป็นพวกคิดมาก
แต่ผมกลับเชื่อว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าใจตัวเอง
การตั้งคำถาม เป็นคนละเรื่องการกังวล

ตั้งคำถามกับมันสิ !
ตั้งคำถามคำสิ่งที่เราเป็น
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราทำ
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราคิด
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเชื่อ
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราชอบ
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเกลียด

แม้บางอย่างเราอาจจะยังไม่ได้คำตอบ
แต่อย่างน้อยเราก็จะรู้สึก

แล้ววันหนึ่งคำตอบ อาจจะวิ่งมาหาเราเอง
ซึ่งมันก็คงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แน่นอน

เพราะโลกนี้ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

Thursday, March 23, 2006

Anything that can possibly go wrong will go wrong



ชายคนหนึ่งกล่าวใว้ว่า [Murphy's Law]

"Anything that can possibly go wrong will go wrong and at the least opportune time"




ชายอีกคนกล่าวใว้ว่า [Albert Einstein]

"If we knew what we were doing, it would not be called research, would it?"

Wednesday, March 22, 2006

2Pac - 2 เพลง

: เพลงฝรั่ง


ประมาณสักเดือนที่แล้ว มั้ง จำไม่ค่อยได้
นั่งอยู่ในรถซึ่งก็จำไม่ได้ว่า แท๊กซี่ หรือรถใคร

ได้ยินเพลงๆ หนึ่ง
ดนตรีเรียบๆ สบายๆ
เสียงร้องก็ไม่ได้เค้นอะไร

จริงๆ ก็ฟังไม่ออกหรอก
ว่าเขาร้องเกี่ยวกับอะไร
เพราะมันเป็นเพลงฝรั่ง
ฟังออกท่อนเดียว
เขาร้องประมาณว่า
Now I understand
What you tried to say to me
ที่เหลือฟังไม่ออก จำดนตรีเอา
แต่ก็รู้สึกชอบเพลงนี้
ไม่ได้ชอบเปล่าๆ ยังชอบฮำเพลงนี้ด้วย
ฮำมันมั่วๆไปงั้นแหละ


แล้วต่อมาอีกหลายวันมากๆ
นั่งว่างๆ ซึ่งจริงๆ ก็ว่างทุกวัน
แต่วันนั้นว่างจากเรื่องที่ทำเวลาว่าง
ก็เลยเลยอยากรู้ว่าชื่อเพลงอะไร เนื้อร้องที่เหลือเป็นยังไง
ก็เลยได้ความมาดังนี้


- - - - -

Vincent (Starry, Starry Night) Lyrics


Starry, starry night
Paint your palette blue and GRAY,
Look out on a summer's day ,
With eyes that know the darkness in my soul,

Shadows on the hills ,
Sketch the trees and daffodils ,
Catch the breeze and the winter chills,
In COLORS on the snowy linen land,

Now I understand ,
What you tried to say to me ,
And how you suffered for your sanity ,
And how you tried to set them free ,
They would not listen ,
They did not know how ,
Perhaps they'll listen now ,

Starry, starry night ,
Flaming flowers that brightly blaze ,
Swirling clouds and violet haze ,
Reflect in Vincent's eyes of china blue ,
COLORS changing hue ,
Morning fields of amber grain ,
Weathered faces lined in pain ,
Are soothed beneath the artists' loving hand,

Now I understand ,
What you tried to say to me,
And how you suffered for your sanity,
And how you tried to set them free ,
They would not listen ,
They did not know how ,
Perhaps they'll listen now ,

For they could not love you ,
But still your love was true ,
And when no hope was left inside ,
On that starry, starry night ,
You took your life as lovers often do ,
But I could have told you Vincent ,
This world was never meant for one as beautiful as you ,

*Starry starry night,
Portraits hung in empty halls,
Frameless heads on nameless walls,
With eyes that watch the world and can't forget.*
Like the strangers that you've met ,
The ragged men in ragged clothes ,
The silver thorn of bloody rose ,
Lie crushed and broken on the virgin snow ,

Now I think I know ,
What you tried to say to me ,
And how you suffered for your sanity ,
And how you tried to set them free ,
They would not listen ,
They're not listening still ,
Perhaps they never will...,


- - - - -


พอรู้ว่าเพลงชื่อ Starry, Starry Night
ก็รู้สึกว่าเคยได้คนอื่นพูดถึงเพลงชื่อนี้
ไม่รู้ว่าจะใช่เพลงเดียวกับที่เขาพูดถึงกันหรือเปล่า

ยังไม่รู้คำ ตอบ
ทิ้งใว้ก่อน












: เพลงไทย








วันนั้น
นั่งทำงานฝิ่น ตั้งแต่ เที่ยงวันยันเที่ยงคืน
เปิดแผ่นเอ็มพีสาม ที่ยืมคนอื่นมา
มีเพลงเป็นร้อย ก็ฟังไปเรื่อยๆ
แล้วก็มาสะดุด กับเพลงๆ หนึ่ง
เนื้อร้องหลายท่อนที่น่าสนใจ เช่น

จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
[แค่ได้ยินก็ตอบว่า ไม่มี]

หรือ

จะมีกี่คนที่เขาจะรับ ที่ฉันเป็นได้ทุกสิ่ง
[เออไอ้นี่เหมือนขอไม่มาก แต่ยากที่จะได้]

มองเห็นความสำคัญ
จับมือกอดฉัน ด้วยความเต็มใจ
จะยอมให้ทุกทุกสิ่ง ที่ตัวฉันมี
จะไม่ทำให้เค้าผิดหวังเลยสักครั้ง
[ท่อนนี้คิดเหมือนตรูเลยเฟ้ย ...]

และแล้วก็นั่งฟังเพลงนี้เพลงเดียว ซะงั้น
ก็เลยต้องเปิดดูว่า เพลงนี้ชื่ออะไร วงอะไร
[ขอเสียของการฟังเอ็มพีสามคือ มันเยอะจนฟังอะไรก็ไม่มีทางรู้]
แล้วข้อมูลที่ได้คือ เพลงชื่อ คนไม่เข้าตา
[หุหุหุ ชื่อเข้าทางพวกเจียมตัวจริงๆ]
วงดนตรีชื่อ แคลอรี่ บลา บลา เนื้อร้องมีอยู่ว่า


- - - - -

มองใครต่อใคร
ที่เดินจับมือเกี่ยวกัน
เห็นเค้าเหล่านั้น ก็นึกอิจฉาในใจ
ทำไมไม่เป็น ไม่มีอย่างเขา
คิดแล้วมันก็เศร้าใจ

มีเพียงความเหงา ให้เดินกอดคอเท่านั้น
ที่นั่งติดกันเวลาดูหนัง คือใคร
จะกิน จะเดิน จะนอน ก็เหงา
ไม่มีใครเคียงข้างกาย ไม่มีใครเลย

จะมีใคร ใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน
ที่มันธรรมดา ไม่เข้าตาเหมือนใครๆ
จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
จะมีไหมใคร เข้าใจรักกัน

จะมีกี่คนที่เค้าจะมองอย่างนั้น
จะมีสักวันบ้างไหม ที่ฝันเป็นจริง
จะมีกี่คนที่เขาจะรับ
ที่ฉันเป็นได้ทุกสิ่ง

มีเพียงความเหงา ให้เดินกอดคอเท่านั้น
ที่นั่งติดกันเวลาดูหนัง คือใคร
จะกิน จะเดิน จะนอน ก็เหงา
ไม่มีใครเคียงข้างกาย ไม่มีใครเลย

จะมีใคร ใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน
ที่มันธรรมดา ไม่เข้าตาเหมือนใครๆ
จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
จะมีไหมใคร เข้าใจรักกัน

มองเห็นความสำคัญ
จับมือกอดฉัน ด้วยความเต็มใจ
จะยอมให้ทุกทุกสิ่ง ที่ตัวฉันมี
จะไม่ทำให้เค้าผิดหวังเลยสักครั้ง

จะมีใคร ใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน
ที่มันธรรมดา ไม่เข้าตาเหมือนใครๆ
จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
จะมีไหมใคร เข้าใจรักกัน

จะมีใคร ใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน
ที่มันธรรมดา ไม่เข้าตาเหมือนใครๆ
จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
จะมีไหมใคร เข้าใจรักกัน

- - - - -

ไม่รู้จะถามใครว่า ไอ้วงนี้มันเป็นใคร
ก็ปล่อยมันผ่านไปก่อน











เมื่อคืน




หลังจากออกกำลังกาย
เตรียมฟิตร่างกาย ไปเทรค
กลับถึงห้องก็จัดการกับกองผ้าในตะกร้า
ระหว่างที่รอเครื่องซักผ้า ก็เปิดทีวีดู
กดช่องโน้น ดูช่องนี้ กดวนไป วนมา

ช่องหนึ่งก็ละคร
นางเอกผู้แสนดี
แทนที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจในความจริง
กลับนั่งร้องไห้ซะงั้น

น่าเห็นใจชะมัด

อีกช่องก็เป็นข่าว
สอรายูด พูดไปเรื่อย

อีกช่องก็รายการสาระจริงๆ
อีกช่องก็ผู้ประท้วงที่สะพานมัฆวาร

จนมาสะดุดกับรายการทางช่องดนตรี
กำลังสัมภาษณ์วง แคลอรี่ บลา บลา
ก็เลยได้รู้ว่า คนร้องหน้าตาแบบนี้

คนแต่งเพลงคือเจ้าของโครงการ
ชมรมคนนอนไม่หลับนั่นแหละ
เขาบอกว่าเพลงนี้ถูกแต่งมาจากตัวของเขา
เพราะเขาไม่เคยมั่นใจเลยว่า
คนไม่เข้าตาอย่างเขาจะมีคนมารักได้

อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง
คนแบบนี้ก็มีเยอะเหมือนกันนะ

ดูรายการนี้ได้สักพัก ก็เปลี่ยนช่อง
เปิดกดวนไปวนมา
ดูโน้นนิด นี่หน่อย

อีตาบุช ออกมาพล่ามเรื่องอิรัคอีกแล้ว
เบื่อหน้า แถมฟังไม่ค่อยออกว่าพูดอะไร
ต้องรอคนอื่นแปล

แล้วก็มาหยุดดูนานๆ ที่ช่องหนัง
เพราะได้ยินเพลงที่กำลังชอบ
starry starry night นั่นเอง

หนังเรื่องนี้พูดถึงประวัติของ 2pac
ซึ่งไม่เคยรู้จักว่าหมอนี่เป็นใคร
หมอนี่บอกว่า แรงบันดาลใจของเขาในการทำงาน
ก็มาจากเพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน
และชีวิตที่ผ่านมา ความทุกข์ยากที่เห็น
ความจริงที่เกิดขึ้น เป็นเป็นไป
แล้วตอนนั้นหนังก็เปิดเพลงดังกล่าว

นั่งดูหนังเรื่องนี้จนจบ แบบงงๆ
นี่ตกลงหนัง หรือเรื่องจริง
เลยมาถามอับดุล(google)ผู้รู้ทุกอย่าง
ก็ได้คำตอบดังเว็บข้างล่างว่า

http://www.tupacfans.com/

Tupac Amaru Shakur
DOB: June 16, 1971 - Brooklyn, NY
DOD: September 13, 1996 - Las Vegas, NV

อืม ถือเป็นความรู้ใหม่


ปล.

ปกติบลอคนี้จะมีคำสะกดผิด พิมพ์ผิดมากมาย
ประเภทเขียนแล้วก็ไม่ได้อ่านทวน
อ่านทวนแล้วก็ยังไม่เห็น
เห็นอีกทีตอนอยู่ในบลอคก็ไม่แก้
เป็นความขี้เกียจของคนทำ

Tuesday, March 21, 2006

อย่าเกลียดชังกันเลย : เสียงจากคนส่วนน้อย

วันศุกร์ นัดกินข้าว

ตอนเย็นนัดคุยงานฝิ่น
เสร็จแล้วก็รีบไปอีกร้าน
เพราะบรรดาพี่ๆ เขาเดินทางไปล่วงหน้าแล้ว

บทสนทนาในวงกินข้าว
นอกจากเรื่องการงานของแต่ละคน
ก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง

[ขอข้าม เพราะขี้เกียจเขียน ไปอ่านของมุกหอม ก็แล้วกัน คิดแบบนี้แหละ]

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun06190349&day=2006/03/19

และอีกเรื่องที่ถือเป็นข่าวเล่าสู่กันฟังคือ
ภรรยาของพี่คนหนึ่งลงนิตยสารแพรว
พวกเราก็เปิดหนังสือดูประกอบข่าว
คอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัว
มีรูปพี่คนนี้พร้อมบทสัมภาษณ์
แต่ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน ได้แต่เปิดดูรูป
และวันนี้ก็เหมือนที่เคย พี่เขาแต่งตัวตามปกติ
ปกติในระดับ ที่หนังสือเอาไปลงคอลัมน์นั่นแหละ



วันเสาร์ นัดกินข้าว


ตื่นมาสายๆ ไฟดับตามที่การไฟฟ้าประกาศ
รุ่นพี่โทรมาให้เข้าไปแก้งาน(ฝิ่น)

แวะไปจ่ายภาษีก่อน
ปีนี้ได้ภาษีคืน เพราะหักค่าอุปการะมารดา
แหะ แหะ แหะ

กว่าจะเลิกงานก็หกโมงเย็น
จริงๆ แก้งานแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
ที่เหลือเล่นเนต เพราะเป็นเนตความเร็วสูง - ที่บ้านไม่มี
นั่งดูรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ดูแล้วก็เกิดกิเลส อยากไปมันทุกที่เลย

แวะเช่าหนังก่อนกลับที่พัก
ตั้งใจจะนอนดูเงียบๆ คนเดียว
ปรากฏว่าเพื่อนโทรมา ชวนไปกินข้าว
คนปฏิเสธไม่เป็นอย่างผม ก็ต้องไปตามระเบียบ

กินข้าวเสร็จ เพื่อนก็ชวนไปเดินคลองถม
เดินไป เดินมา วนไป วนมา ตีหนึ่งกว่า
เสร็จแล้วก็แวะไปดูการประท้วง นิดหน่อย
พอเป็นพิธี จะได้เก็บเอาใว้โม้ได้
แหะ แหะ แหะ

กลับมาถึงที่พัก อารมณ์อยากดูหนังยังอยู่
ก็เลยเลือกดู 40 years old virgin
คิดว่าจะเป็นหนังตลก ปรากฏว่าผิดคาด
ดูเป็นหนังจริงจังกับชีวิตพอสมควร

พระเอก อายุ 40 ปีแล้ว
ดูมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายตามสไตส์หนุ่มโสด
แถมแกยังไม่มีแฟน และยังบริสุทธิ์
[พลอตเรื่องมันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้ :P]

แต่แล้ววันหนึ่งหายนะก็มาเยือน
เพราะเพื่อนร่วมงานรู้ว่ายังบริสุทธิ์นี่แหละ

ด้วยความหวังดี หรือเห็นเรื่องสนุก ซึ่งยากจะแยกแยะ
บรรดาคนรอบข้างก็พยายามแนะนำ
ทำอย่างโน้นสิ ทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นสิ

เรื่องมันก็มีเท่านั้นแหละ

แต่ท้ายที่สุด เมื่อความรักมันจะมา
คนที่รอคอยก็ต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน
โดยไม่ต้องพึ่งความหวังดีจากใคร

เหมือนตอนจบของหนัง
พระเอกพูดใว้ ประมาณว่า

ผมถามตัวเองมาตลอดว่า
ทำไมผมยังไม่ใครซะที
แล้ววันนี้ผมก็ได้คำตอบแล้วว่า
ผมรอคุณนั่นเอง

ดูหนังเรื่องนี้จบ ก็หลับทันที
ประมาณว่า ปิดตาปุ๊บ
สามวินาที หลับปั๊บ


วันอาทิตย์ ไม่มีนัดกินข้าว


ตื่นมาก็ดูหนังเรื่อง
อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม

ถือว่าเป็นหนังที่ไม่เลวร้าย
แม้ว่าบางช่วงจะอืดไปหน่อย

ชอบอย่างหนึ่งคือ บทสนทนา เท่ดี
แม้จะเป็นความเท่แบบจนใจไปหน่อย

เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมาก
หนังเล่นกับคำว่า กรรม
มันเหมือนกับว่า บทสนทนา เป็นเรื่องหนึ่ง
แล้วภาพที่ดำเนินไปกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ดูหนังเสร็จก็หลับ
ราวกับว่า อดนอนมาเป็นปี
นอน นอน ตื่น ตื่น นอน นอน
จนเย็น แล้วก็ลงไปกินข้าว
แล้วก็ดูหนังเรื่อง clash
หนังที่เพิ่งได้รางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

หนังพูดถึงสังคมอเมริกันหลังเหตุการณ์เวิร์ลเทรดถล่ม
สังคมเมืองที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ
คนผิวขาว คนผิวดำ แมกซิกัน เปอร์เซีย เอเชีย
ทุกคนอยู่ในเมืองใหญ่อย่างหวาดระแวงกันและกัน
ไม่มีใครอยากใว้ใจใคร ทุกคนพร้อมจะกล่าวโทษอีกฝ่ายเสมอ
ปัญหาการเหยียดผิวที่ฝั่งอยู่ในความรู้สึก และยังดำรงค์อยู่ในชีวิตจริง
ปัญหาการแบ่งเชื้อชาติที่ยังคงพบเจอได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เหล่านี้ล้วนสร้างความแตกแยกขึ้นในความรู้สึกของคนร่วมสังคม

ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เกิดคำถามว่า
มันเป็นขนาดนี้เลยหรือเปล่า
หรือว่าหนังมันนำมาขยายเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน

แต่ก็อีกนั่นแหละ
ปัญหาการแบ่งเขาแบ่งเรา
มันมีอยู่ในทุกสังคม
และมันก็ย่อมสร้างแต่ปัญหาไม่รู้จักจบ

ไม่เชื่อ ลองหันไปมองรอบตัวสิ
พื้นที่ของความเกลียดชัง
กำลังจะยึดครองสังคมนี้
อย่างสิ้นเชิงแลัวนะ



วันจันทร์ นัดทานข้าว


พยายามสะสางงานให้หมด
เพราะกลัวว่ามันจะค้างคาไปจนถึงสิ้นเดือน

ตอนเย็นรุ่นพี่โทรมาบ่นเรื่องการเมือง
ฟังแกร่ายยาวไปเกือบสองชั่วโมง
จนโทรศัพท์แบตหมด

และมันก็สร้างปัญหา
เพราะจำไม่ได้ว่า
เพื่อนๆ นัดเจอกันที่ร้านชื่ออะไร
จำได้แค่ว่าอยู่ซอยไหน

พยายามเดินหาโทรศัพท์สาธารณะ
แต่หายากมากในเมืองนี้
หรือแม้จะหาเจอก็ยากมากที่จะใช้ได้

เดินไปเดินมา จนเจอร้าน
ด้วยความคาดเดา

แล้วพวกเพื่อนก็ย้ายร้าน ไปหาข้าวกิน
ในตอนหัวค่ำ วงสนทนามีแต่เรื่องการเมือง
แต่พอตกดึก เราก็คุยกันแต่เรื่องความรัก
กว่าวงสนทนาจะจบ กว่าจะได้นอน ตีสอง

Thursday, March 16, 2006

Zathura : ให้ความรักนำทาง

เมื่อวานซืน ดูหนังเรื่อง ซาทูร่า

Zathura หนังผจญภัย ภาคต่อจากจูแมนจี้
แม้เนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่องกัน ชื่อเรื่องไม่บ่งบอกความเกี่ยวพัน
แต่ภาพรวมของหนังทั้งหมด ก็ยืนยันตัวเองได้ชัดเจนว่า
มันคือ จูแมนจี้ ภาคอวกาศ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ได้ตื่นเต้นและสนุกไปกับหนังเหมือนภาคแรก

ถามตัวเองว่าทำไม
คำตอบคือ รู้และคาดเดาได้
ความลุ้นไปกับเนื้อเรื่องมันก็จะลดลงไป
คำตอบนี้น่าจะถูกต้องที่สุด

นั่นหมายความว่า
หากเรามีประสบการณ์มากขึ้น รู้มากขึ้น
เราจะหาความสนุกกับชีวิตได้น้อยลง

เป็นเช่นนั้นหรือ !

สำหรับโครงสร้างของหนัง ก็เหมือนภาคที่แล้ว
เด็กชายพี่น้องสองคน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตามประสาเด็ก
บังเอิญน้องชาย ไปเจอแกมซาทูร่า ที่ห้องเก็บของชั้นใต้ดิน
แล้วบังเอิญก็ได้เริ่มเล่นเกมนี้ด้วยความไม่รู้
แล้วการผจญภัยในรูปแบบของซาทูร่าก็เริ่มขึ้น
ก็เหมือนกันกับการผจญภัยในรูปแบบจูแมนจี้นั่นแหละ

อย่างหนึ่งที่คนดูหนัง อย่างผม
รู้สึกว่าภาคนี้เขาเน้นคือ
ความรัก ระหว่างพี่น้อง
หลายต่อหลายครั้ง
ที่สถานการณ์มันต้องอิงกับเรื่องนี้
เมื่อตัวเอก ให้ความรักนำทาง
เขาทั้งหมดก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้สำเร็จ


เมื่อวาน อ่านหนังสือ ให้ความรักนำทาง


หนังสือท่องเที่ยว ที่เขียนถึงสถานที่ท่องเที่ยว
ประเภทสถานทีทมหาชนทั้งหลาย
ซึ่งดูเหมือนไม่น่าสน
เพราะใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น

ผมก็แบบนั้น แต่ก็ยังซื้อมาอ่าน
เหตุผลไม่มีอะไรมาก เพราะชอบสารบัญ
รู้สึกว่าผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องได้น่าสนใจ

พี่ที่เคารพ (แต่ไม่ค่อยได้เจอแล้วนะ) ท่านหนึ่งเคยบอกว่า
หากแกตั้งเชื่อเรื่องเสร็จ
แสดงว่าแกเขียนเรื่องนั้นเสร็จไปเกินครึ่ง
ชื่อเรื่องเป้นส่วนที่แกให้ความสำคัญมาก
ไม่รู้ว่าคุณ วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง
จะคิดแบบนี้หรือเปล่า แต่ชื่อเรื่องของเขาก็น่าสนใจดี

ลองมาฟังชื่อเรื่องกันดีกว่า

1 ขึ้นภูไปยืนดูตัวเอง
- กลับบัว และดวงไฟในถ้ำ ที่นกกระจาบต้องเผชิญ
- เดินตามชะตา หาทางกลับบ้าน ที่ภูกระดึง
- ปืนผาไปหาสิ่งใด บนภูสอยดาว

2 ทะเล : ความเหว่ว้า
- แหลมสนกระซิบ : พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ
- รอนแรมสู่เสม็ด ต้อยตามหาความหมายของชีวิต
- ประจวบคีนีขันธ์ คืน-วัน และ การหยุดพักผ่อนของผู้พเนจร

3 ห่มหมอกขาวหนาวความอุ่น
- ทุ่งพญา แสลงหลวง เดิเท้าในทุ่งกว้างและทางป่า
- ปิล๊อค ในหมอกฝัน
- บัวตองแม่อุคอ ดงดอกไม้ในม่อนดอย
- ภูชี้ฟ้า : เสี้ยวเวลาบนภูผาหมอก

อีกเหตุผลที่เลือกซื้อเล่มนี้
เพราะคำนำเสนอ หรืออะไรสักอย่าง
บอกว่าสำนวนนักเขียนคนนี้ โรแมนติก
มนุษย์ชอบของหวานอย่างผม ก็เลยต้องลองดู

รูปแบบการเขียนออกมาในแนวสารคดี
รูปแบบการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ คือ การโบก
ส่วนความหวานนั้น ก็พอมี แต่ไม่ค่อยรู้สึก
อย่างผม มันต้องหวานจัดๆ เท่านั้น
ไม่อย่างงั้น ก็ขมจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ถึงจะรู้สึกได้

แต่โดยรวมๆแล้วถือว่าดี
เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมอ่านจบเล่มได้
ไม่วางทิ้งค้างๆ คาๆ

ครั้งหน้าเห็นชื่อนักเขียนคนนี้
ก็จะลองอ่าน



วันนี้




รุ่นพี่ชวนไปประท้วง
เนื่องด้วยผมห้าม ไม่อยากให้เขาไป
เขาก็เลยบอกว่า ให้ผมลองไปดูสักครั้ง
แล้วจะเข้าใจ

ยังไม่ตกปากรับคำ
เพราะไม่อยากไป
เลยภาวนาให้ฝนตก
จะได้หาข้ออ้างได้




พรุ่งนี้



ยังมาไม่ถึง
รู้แต่เป็นวันศุกร์
และคงเป็นวันทำงานตามปกติ


มะรืน



ยังมาไม่ถึง
คาดว่าจะไปจ่ายภาษี


มะเรื่อง


ก็ยังมาไม่ถึง
แต่ ความรักจะนำเราไป
(ไม่เกี่ยวกัน แต่อยากเขียนแบบนี้)


แล้วต่อ มะเรื่องเรียกว่าอะไร
แล้วก่อนหน้า เมื่อวานซืน เรียกอะไร

Tuesday, March 14, 2006

สารกระตุ้น หมายเลข สอง



สารกระตุ้น เล่มสอง
หน้าปก เซอร์ไพรส์ นั่นแหละ
คาดว่าคงออกมานานแล้ว
เพิ่งเห็น ก็เลยเพิ่งซื้อ
ก็เลยเพิ่งมีโอกาสได้อ่านตอนประมาณเที่ยงคืน - หลังเลิกงาน
พยายามอ่านให้จบทุกคอลัมน์ แต่ไม่สำเร็จ
กว่าจะหมดก็ตีหนึ่งกว่าๆ
ตอนนี้ก็พยายามนึกว่า
มีอะไรติดอยู่ในหัวบ้าง

อย่างแรกที่จำได้
บทสัมภาษณ์ ปราบดา
ดีใจที่ได้อ่าน แม้ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ก็ชอบ
มีหลายประเด็นที่น่าจะเอามาพูดกันต่อเช่น


"เฮ้ย...อาทิตย์นี้มีหนังสืออะไรที่น่าสนใจออกมาบ้างนะ เราเดินไปดูที่ร้านหนังสือดีกว่า"

ปราบดาบอกว่าคนแบบนี้มีน้อย
ยิ่งถ้าตีความเหมารวมถึงคนที่อ่านหนังสือวรรณกรรม
ปราบดาบอกว่าไม่น่าจะมีถึงหมื่นคน

ตกใจ ไม่อยากเชื่อ
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็อาจจะจัดอยู่ในหมื่นคนนั้น
แล้วบรรดาคนที่เรารู้จักอีกเป็นสิบๆคน
ก็อยู่ในหนึ่งหมื่นนั้นด้วย
ก็ถือว่า เรารู้จักคนพวกนี้เยอะ
ตกใจ ไม่อยากเชื่อ

แล้วอีกอย่าง ที่เราสงสัยมานาน
ว่าจะถามคนคุ้นเคยเซอร์ไพรส์ซะทีคือ
คุณปราบดาเขาเคยโกรธไหม
แล้วเวลาเขาโกรธมันเป็นอย่างไร
ซึ่งพี่โอ๊ทส์ก็สงสัยเหมือนผม
แต่ต่างกันคือ เขาสงสัยแล้วก็ถามแล้ว

แล้วปราบดาก็ตอบได้ ปราบดามากๆ
ประมาณว่า

ผมอาจจะโกรธ แต่ผมขี้เกียจขยับตัว
ผมเลยไม่ได้แสดงอาการโกรธ

อ้อ มีความรู้ใหม่ที่เพิ่งนึกออก
วันก่อนไปเที่ยวแถวเขาชะเมา
บรรดาเซียนเดินป่าทั้งหลายบ่นถึงสิ่งที่ไม่อยากเจอ ขณะเดินป่า
อันได้แก่ ทาก อันนี้มีคนกลัว แต่ไม่มาก
เห็บ อันนี้บอกกันว่า เกาะแล้วอาจจะอยู่ยาวถึงหนึ่งปี
อีกหนึ่งคือ คุ่น ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
กัดเจ็บมาก โดนเข้าไปแล้ว แพ้กันทุกราย บวมด้วย

อันนี้ไม่เกี่ยวกัน แค่รู้สึก
พ่อแม่เขาตั้งชื่อลูกได้ตรงกับ คุณสมบัติดี

อีกคอลัมน์ที่ชอบคือ คอลัมน์ที่ถามถึงหนังสือที่อ่าน เพลงที่ฟัง หนังที่ดู
เล่มนี้คนที่มาตอบคือ ริค วชิรปิลัน (ไม่รู้ชื่อเขียนแบบนี้หรือเปล่า)
ชอบอ่าน คอลัมน์แบบนี้ เพราะบางทีมันอาจจะนำเราไปรู้จักอะไรใหม่ๆ
แล้วก็รู้สึกเองว่า เราอาจจะรู้จักคนๆนั้นมากขึ้น จากสิ่งเหล่านี้
เพราะเราเชื่อมาตลอดว่า คนๆเติบโตมาจาก สารที่ส่งผ่านมาทางสื่อเหล่านี้

อีกคอลัมน์คือ คอลัมน์หน้าสุดท้าย
จำชื่อไม่ได้ว่าชื่อคอลัมน์อะไร
แต่เนื้อหาเขียนถึงแรงบันดาลใจ

คนเขียนบอกว่า สมัยเรียน
เขาเป็นคนที่ร้องเพลงไม่เก่ง
ขึ้นประกวดทุกเวที
ทุกครั้งที่ขึ้นก็จะเต้นและร้อง เต็มที่ มาก มาก
และเขาก็รู้สึกว่า ทุกคนสนุกไปด้วยกับเขา
มีครั้งหนึ่ง กรรมการถึงขั้นลุกไปเต้นด้วย
แต่เขาก็แพ้ทุกเวที

เวลาผ่านไป

เขามีโอกาสไปดูการแข่งร้องเพลง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงแข่ง

มีเด็กคนหนึ่งขึ้นมาร้อง
เสียงไม่ดี แต่เขารู้สึกว่ามันเต็มที่ และสนุกไปกับมันมาก
พอเด็กคนนี้ร้องจบ เขาลุกขึ้นปรบมือ
และแน่นอน ว่า หมอนั่นแพ้

หลังจบการประกวด
เด็กคนนั้นเดินมาหาเขา บอกว่า
ผู้เขียนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมาทำแบบนี้
เขาเคยได้ดูผู้เขียนมาก่อน
แล้วตอนดูเขาก็รู้สึกว่า เขาสนุกมาก
เขาเลยลุกขึ้นมาทำบ้าง

อีกเรื่อง ที่ผู้เขียนเล่า แต่ไม่ค่อยเกี่ยวกันคือ

ผู้เขียนบอกว่า
เขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง
ก็เขียนจดหมายอิเลคทรอนิค
ไปบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง
ให้ผู้หญิงคนนั้นอ่าน ทุกวัน

หนึ่งปี ผ่านไป
เป็นไงต่อ ไปหาอ่านเอง
แค่นี้ก็แถบจะเรียกว่าขโมยงานเขียนเขาแล้ว

ส่วนคอลัมน์อื่นก็ยังไม่ค่อยมีอะไรสะดุดความคิด

อ้อ อีกคอลัมน์ที่ไม่ชอบเลยคือ
คอลัมน์ คอวินทร์ เลียววาริณ
เขาทำอะไรของเขาอะไร
รูปก็ไม่สวย สารก็เบาหวิว เรื่องราวก็พื้นๆ
ใครชอบบ้างอะ อยากรู้

Monday, March 13, 2006

ชี วิ ต ค น โ ส ด



เที่ยงวันศุกร์


ฟังธรรม
วันนี้พูดถึงหน้าที่ของผู้นำครอบครัว
ในการนำพาครอบครัวไปความสุข ความเจริญ

ก็ได้แต่ฟังใว้
เพราะยังไม่ได้เป็นหัวหน้าใคร
และคาดว่า อีกนาน กว่าจะได้เป็น


เย็นวันศุกร์


ว่าง โดยบังเอิญ
คราแรกตั้งใจจะไปงานท่องเที่ยวทั่วไทย
แต่รุ่นพี่เล่าว่าไปมาแล้ว
พวกเราคงไม่ไช่กลุ่มเป้าหมาย
จึงไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก

คราที่สองตั้งใจจะไปออกกำลังกาย
แต่เกิดอาการปวดเข่า
เป็นอาการปวดอีกแบบ ต่างจากเมื่อก่อน
แต่ก็สร้างความกังวลใจอย่างมาก
เพราะกำลังจะจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน
เพื่อไปเดินเขาที่ประเทศเนปาล

ท้ายที่สุด ก็ไปร้านหนังสือ

เจอหนังสือ บันทึกเบื้องการถ่ายทำ invisible wave โดยพี่รัต - นวรัตน์ รุ่งอรุณ
เดาว่านี่คือหนังสือเล่มใหม่ ตามที่พี่รัตน์เคยแมสแสสมาบอก
เพราะตอนอ่านเแมสแสส มันเป็นชื่อภาษาไทย ที่เครื่องผมอ่านไม่ออก
แต่ก็ได้แค่หยิบมาเปิดผ่าน ยังไม่ได้ซื้อ
เพราะยังไม่ได้ดูหนัง กะว่าซื้อไปก็ไม่น่าจะได้อ่าน

หนังสือที่ซื้อติดมือมามีชื่อว่า ให้ความรักนำทาง
เขียนโดย วีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง
นักเขียนประจำ(มั้ง)ของหนังสือสารคดี

คำโปรยของหนังสือ เขียนใว้ว่า

มิตรภาพ
ความรัก
และคืนวันอันแสนงาม
บนหนทางวเนจร

ปกติมีแต่คนบอกว่า อย่าตัดสินใจซื้อหนังสือ เพียงแค่ปก
แล้วการที่ผมเลือกซื้อหนังสือจากชื่อบท
มันจะเข้าทำนองเดียวกันหรือเปล่าละ

ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ถูกอ่านไปได้ประมาณแปดส่วนจากสิบส่วน
เดี่ยวอ่านจบค่อยมาเขียนบันทึก



คืนวันศุกร์


ความจริงมีงานหลายชิ้นจะต้องเคลียร์ส่ง
แต่กลับมาก็นอนอ่านหนังสือ
นอนฟังเพลง
นอนดูทีวี
ทำพร้อมๆ กันทั้งสามอย่างนั่นแหละ

ดูไปดูมา
ดูท่านเหลี่ยมออกรายการสอรายูด
ดูท่านเหลี่ยมสลับกับบรรยากาศที่สนามหลวง
มีคำถามทิ้งใว้ในใจ

หากคนชอบทักษิณสิบล้าน
คนออกมาประท้วงไล่ห้าล้าน
เสียงใครควรดังกว่ากัน

แล้วถ้าเสียงห้าล้านเกิดเป็นคนดังๆ
เสียงมันจะดังกว่าสิบล้านไหม

คำตอบคือ การเคารพความคิดกันและกัน
ในวันที่เราเห็นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
มันจะเกิดขึ้นได้ไหม


เช้าวันเสาร์


ตื่นมาด้วยความหิว
ลงไปกินข้าวมันไก่
เสร็จแล้วนอนเล่น
นอนกลิ้งไปกลิ้งมา
หลับบ้าง ตื่นบ้าง

เพื่อนสนิทโทรมายืมเงินห้าบาท
ไม่ต้องถามมันก็รู้ ว่าทำไมมันถึงกล้าเอ่ยปากยืมผม
เหตุผลที่มันชอบอ้างเสมอๆคือ
พวกมรึงไม่มีภาระ และโสด
ฟังดูเหมือนเป็นโรคร้าย มีความผิด
แต่ก็ไม่เคยเถียงมัน

ในใจอยากปฏิเสธ
เพราะกลัวเสียทั้งเงินและเสียทั้งเพื่อน
แต่ก็พูดออกไปไม่ได้
สุดท้ายก็ต้องยอมให้มันยืม


เสาร์เที่ยง


ไปทำงาน
ระหว่างนั่งทำงาน
ก็โม้กับชาวบ้านทางเอ็มไปบ้าง
ส่วนมากก็หนีไม่พ้นเรื่องทักษิณ

น้องคนหนึ่งบอกว่า
คิดถึง ใครพูดก็รู้สึกดี
ผมไม่ค่อยเห็นด้วย
ก็ถือเป็นหัวบ้อสนทนาที่ยืดยาวได้

กว่าจะได้เลิกงาน ก็เที่ยงคืน


อาทิตย์เช้า


ตื่นสายๆ
โทรศัพท์มือถือดัง
พอจะลุกไปรับก็เงียบ
ยังไม่อยากตื่น จึงยังไม่โทรกลับ
โทรศัพท์ที่ห้องดัง
พอจะลุกไปรับมันก็เงียบอีก
เดาว่าเป็นคนเดิมกับเมื่อกี้

ดัดสินใจลงไปกินข้าว
กินเสร็จก็โทรกลับไปหาเพื่อน
ก็เลยรู้ว่าอยู่ห้องเพื่อนอีกคน
ก็เลยแวะไปหามัน

แล้วก็ชวนกันไปกินข้าวอีกรอบ (ตรูเพิ่งกิน)

เพื่อนกลุ่มมอปลาย
นาน นาน จะเจอกันซะที
ไม่ใช่ไม่อยากเจอกัน
แต่ไม่มีใครเริ่มต้น ที่เหลือก็เลยเฉยๆ


เที่ยงวันอาทิตย์


กว่าจะรวมตัวกันได้ก็บ่ายๆ
เลือกกินกันที่สยามพารากอน
ส่วนมากหนักไปทางขนม กับกาแฟ
ทั้งอิ่ม ทั้งอืด และก็หัวเราะตลอดเวลา

เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แต่งงานแล้ว
กำลังพยายามมีลูก แต่ยังไม่ประสบผล
ทุกคนก็แซวว่า ไร้น้ำยา
มันก็สวนกลับทันทีว่า
ก็ยังดีที่ได้พยายาม
ดีกว่าไอ้พวกยังไม่มีเมีย
ซึ่งก็ยังดีกว่าไอ้พวกยังไม่มีแฟนอีกหลายขั้น
อันหลังนี้มันหันมาทางผม

แล้วมันก็พูดต่อว่า
พวกเอ็งไม่แนะนำใครให้มันรู้จักบ้าง

เพื่อนอีกคนก็สวนขึ้นมาทันทีว่า
นิสัยอย่างผม สงสารคนที่จะมาอยู่ด้วย

มันยืนยันความเชื่อของมันว่า
มันโทรผมหาผมไม่เคยติด
ถึงติดก็ไม่เคยรับ
ผู้หญิงที่ไหนจะทนได้

สงสัยพวกมันจะลืมไปว่า
เพื่อน กับ แฟนมันต่างกันเฟ้ย
หากเป็นแฟนนะ ผมไม่จะรีบรับสายทันที
สัญญา

แต่มัน ไม่เชื่อ


เย็นวันอาทิตย์

ยังไม่ทันหายอิ่ม
ก็ต้องรีบวิ่งไปหาเพื่อนอีกลุ่ม
เพื่อเตรียมตัวไม่งานแต่งงาน

ปรกติผมเคยประกาศ และยื่นคำขาดไปแล้ว
ว่าจะไม่ไปงานแต่งงานอีกเป็นอันขาด
เพราะเบื่อ และขี้เกียจ (อิจฉาด้วย)

แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องไปอีกจนได้
รุ่นน้องที่แต่ง เป็นอาจารย์ที่มหานคร
และก็ทำงานฝิ่นด้วยกัน
ก็เลยต้องรักษามารยาท

แล้วก็เหมือนเดิม
งานแต่งงานคือ งานแต่งงาน
มันช่างน่าเบื่อ จอมปลอม และสิ้นเปลืองจริงๆ

ผมไม่เคยแต่งงาน
จึงไม่รู้ว่า งานแต่งงานเขาต้องการอะไร
อยากรู้ว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการไหม
เพราะผมไม่ได้ให้อะไรเขาเลย นอกจากเงิน
และดูเหมือนทุกคนก็มาแบบ งั้น งั้น


คืนวันอาทิตย์

หลังจากใช้ชีวิตมาทั้งวัน
ก็ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง

นอนอ่านหนังสือ
ฟังเพลง
ดูทีวี
แล้วก็หลับ

รู้สึกว่า ชีวิตเราตอนนี้ ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
ทำไมจะต้องดินร้นไปสู่อาณาจักรใหม่
ที่ที่เราเองก็ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้
แม้ทุกคนจะบอกว่าดินแดนใหม่มันดีอย่างไร
แต่หากเรายังไม่พร้อม
เราก็ยังไม่ควรจะหลงไปตามคำคนอื่น



สายวันจันทร์

มาถึงที่ทำงานเกือบสิบโมง
ทำงานเล็กน้อย
เปิดเนตดูโน้นดูนี่
แล้วก็เดินไปคุยกับพี่ๆ

ได้ข่าวว่า ออฟฟิศกำลังจะปลดพนักงานเดือนหน้า
ได้ยินครั้งแรก ตกใจเล็กน้อย
แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าเข้าทางดีแล้ว
ได้เงินมา จะได้ไปเที่ยวสักเดือน
แล้วค่อยกลับมาหางาน

แต่พี่ๆ คนอื่นๆ เครียด
เพราะทุกคนมีรายจ่าย ที่ต้องจ่ายประจำ
ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเทอมลูก จิปาถะ
นี่ก็คงเป็นอีกด้านของอาณาจักรใหม่


บ่ายวันจันทร์

แผนกผมได้งานชิ้นใหม่ ราคาหกสิบบาท
เป็นงานปรับปรุงห้าง เพื่อทำโรงหนัง
งานนี้ใช้เวลาหนึ่งเดือน คนทำงานสองคน
ก็ถือว่ามีงานใหม่เข้ามา

บรรยากาศออฟฟิศเปลี่ยนไปจากตอนเช้าพอสมควร
เหมือนกับมีลมหายใจไปอีกสามเงือก

แต่หัวหน้าบอกว่า
งานนี้ต้องทำเดือนเมษา
มันจึงกระทบต่อผมอยู่ดี
เพราะเมษาผมจะไปเที่ยว

เฮ้อ เรื่องมาแบบไหนก็กระทบตรูทั้งนั้น

Thursday, March 09, 2006

จากภูเขา ถึง ทะเล : ดอกไม้

ตอนนี้อยากได้เลนส์มาโคร
เพราะชอบสีสันของโลกใบเล็กเล็ก
แต่ก็ยังจนปัญญาที่จะหามาเป็นเจ้าของ
จึงต้องเพิ่งเจ้ากล้องเก่าคู่ชีพไปพลาง
ด้วยศักยภาพของกล้องและเจ้าของ
ก็ถ่ายมาได้ประมาณนี้แล




น่าจะเป็นตระกูลหวาย หรือ เอื้องอะไรสักอย่าง
มีคนบอกแล้วแต่จำชื่อไม่ได้
สีส้มที่ไห้ออกมา สดชื่นมากๆ
เหมือนของปลอม (เป็นตรรกกะ แปลกๆ )




ของจริงเหลืองอร่ามมากๆ
แต่ก็อย่างที่บอก
ได้เท่านี้แหละ ฉานนนนนนน




สีขาวของโมกยามต้องน้ำค้าง
มันรู้สึกถึงความขาวแบบซื่อๆ




นี่เป็นต้นที่ขึ้นในป่าจริงๆ
มันเป็นแบบนี้ แล
อาจจะต่างจากดอกในเมืองนิดหน่อย
แต่ดูสดใสกว่ากันมาก




ยังไม่รู้ว่า ดอกนี้ชื่ออะไร
รอคนรู้มาบอก แต่ดอกจริงสีประมาณนี้แหละ




ดอกจริงๆ มันเล็กมาก
แต่พอพิจารณาใกล้ๆ มันก็สวยมากเหมือนกัน
ดูบอบบาง น่าทะนุทะนอม
ดูแล้วนึกถึงใครบ้างคน 555

Wednesday, March 08, 2006

เ ค ย เ ห ง า กั น บ้ า ง ไ ห ม



ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา


ฉันเชื่อและรู้สึกอย่างนี้มาตลอด
แต่เพื่อความรอบคอบไม่ประมาทเกินไป
ฉันก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อตัวเองมากนัก
จริงๆ ฉันอาจจะขี้เหงาสุดๆ แต่ไม่รู้ตัว
ฉันก็เลยต้องมานั่งทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเอง

ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา จริงๆ เหรอ

ฉันอาจจะเหงา
แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการเบื่อ

ฉันอาจจะเหงา
แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการเซ็ง

ฉันอาจจะเหงา
แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการท้อแท้

ฉันอาจจะเหงา
แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการหดหู่

ฉันอาจจะเหงา
แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการเศร้า

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยความสงบ

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยการอ่านหนังสือ

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยการดูหนัง

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยการฟังเพลง

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยการไปเที่ยว

ฉันอาจจะเหงา
แต่กลบเกลื่อนด้วยการหากิจกรรมทำ


แต่ถึงจะตั้งคำถามอย่างไร
ฉันก็ยังเชื่อว่า
ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา

ฉันเคยเบื่อ แต่ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันเคยเซ็ง แต่ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันเคยท้อแท้ แต่ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันเคยหดหู่ แต่ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันเคยเศร้า แต่ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบความสงบ แต่ก็ไม่ได้มาจากความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่ได้มาจากการหนีความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบชอบหนัง แต่ก็ไม่ได้มาจากการหนีความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบชอบฟังเพลง แต่ก็ไม่ได้มาจากการหนีความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบชอบท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้มาจากการหนีความเหงาแน่ๆ
ฉันชอบชอบหากิจกรรมใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้มาจากการหนีความเหงาแน่ๆ

เพื่อความรอบคอบ ฉันก็ต้องหาคำถามเด็ดๆมาถามตัวเอง
ถ้าอย่างงั้น
อะไรทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา

คำถามเด็ดมาก ตอบไม่ค่อยได้
ไม่เป็นไรทิ้งมันใว้อย่างนั้น


อาจจะในขณะที่เรากำลังจะเคลิ้มหลับ
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังอาบน้ำ
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังนั่งเล่น
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังอยู่ในรถไฟฟ้า
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังดูหนัง
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังฟังเพลง
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

อาจจะในขณะที่เรากำลังคุยกับคนอื่น
คำตอบอ่านจะวิ่งมาทันใด

เดี่ยวคำตอบมันจะมาหาเอง ในเวลาที่เราไม่คาดคิด

แล้วคำตอบก็วิ่งมาสู่ฉัน
ในขณะที่ฉันกำลังนำตัวเองกลับเข้าร่องเข้ารอย

ศรัทธาและความเชื่อนั่นเอง

เพราะศรัทธาและความเชื่อ
ที่เติบโตมาพร้อมกันฉัน
ทำให้ฉันรู้สึกไม่เคยรู้สึกเหงา

อาจจะอธิบายยาก
ลองจินตนาการง่ายๆ

เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเราอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา

เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเราอยู่กับครอบครัวที่เข้าใจ

เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเราอยู่กับเพื่อนฝูงที่ถูกคอถูกใจ


เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเราอยู่กับคนที่พร้อมจะเข้าใจและให้อภัย

เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเรามีตัวตนในสายตาใครคนหนึ่ง ตลอดเวลา

เราคงจะไม่รู้สึกเหงา
หากเรารู้ว่า เราอยู่ตรงไหน กำลังทำอะไร และ เป้าหมายคืออะไร


เพราะฉะนั้น
ฉันจึงยังคงเชื่อ และรู้สึกว่า
ฉันไม่เคยรู้สึกเหงา

Monday, March 06, 2006

จากภูเขา ถึง ทะเล : ดอกกัลปพฤกษ์

หน้าร้อนกำลังเดินทางมา
นอกจากอากาศที่เริ่มร้อนมาก
สัญญานที่บ่งบอกอย่างหนึ่งคือ
สีสันอันสวยงามของดอกไม้ที่อวดตัวเอง
อย่างเช่น ชมพูพันทิพย์
ที่กำลังเป็นสีชมพูทั้งต้นในสนามม้าปทุมวัน

ต้นไม้ที่ปลิดใบทิ้งและให้ดอกชีสมพูสวยงาม
อีกต้นหนึ่งที่ผมชอบคือ กัลปพฤกษ์

ครั้งนี้สบโอกาส
ระหว่างทางไปเขาอ่างฤไน
รุ่นพี่แวะถ่ายรูป จึงได้เก็บภาพกับเขาบ้าง

ผมไม่รู้ว่า ซากุระ เป็นยังไง เพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง
แต่ก็จินตนาการเอาว่า กัลปพฤกษ์ ก็เป็นซากุระ ของเมืองร้อนก็แล้วกัน











Thursday, March 02, 2006

F E A R L E S S

นี่คือบันทึก เพื่อการบันทึกจริงๆ
เพราะฉะนั้น จะเปิดเผยข้อมูลหนังเท่าที่อยากบันทึก





เพิ่งไปดูหนังเรื่องนี้มา
หนังในโครงการ ดูหนังกันเป็นฝูง
ชอบ เหมือนอารมณ์เด็กมัธยมดี
แถมเป็นการเจอกันแบบเด็กมัธยม
ชวนกันชั่วโมงนั้น ก็ไปกันชั่วโมงนั้น
ไม่ต้องนัดล่วงหน้า สามอาทิตย์

จริงๆ สถาบันสอนภาษาจีนที่ข้าพเจ้าสังกัด
ก็ส่งบัตรมาให้ดูฟรี แต่ไม่ไป
เพราะคาดว่า ฟังไม่ออก
แล้วหนังจีนจะต้อง พากย์ไทย เท่านั้น
ไม่เช่นนั้น จะไม่ได้ อรรถรส


หนังเล่าประวัติชีวิตของฮั่ว หยวนเจี่ย
(ตามรายงานบอกว่า มีตัวตนจริงๆ)

ฮั่ว หยวนเจี่ย โตมาในครอบครัวจอมยุทธ
พ่อเป็นอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
แต่ฮัว หยวนเจี่ย ก็ไม่ได้รับอนุญาติให้ฝึก
เหตุผลที่แม้ให้เขาคือ ร่างกายเขาไม่แข็งแรง
ส่วนเหตุผลของพ่อ ไม่มีคำพูดยืนยัน
แต่หนังก็ให้คำตอบที่คนดูอย่างข้าพเจ้ารู้สึกได้

ฮั่ว หยวนเจี่ย แอบฝึกยุทธด้วยตัวเอง
จนเมื่อเติบใหญ่ก็เริ่มประลอง เพื่อความเป็นหนึ่ง
แม้บนเส้นทางแห่งความเป็นหนึ่งนั้น
มันอาจจะต้องแลกด้วยอะไรมากมาย
ฮั่ว หยวนเจี่ย ก็ยังมุ่งมั่นที่จะไปยืนตรงจุดนั่นให้จงได้
แม้ท้ายที่สุด เขาจะสมดั่งหวัง
แต่ก็กลับพบเพียงความว่างเปล่าที่รอเขาอยู่บนนั้น

หนังเหมือนจะจบส่วนแรกใว้ตรงนี้
ส่วนแรกนี้ เหมือนจะตั้งคำถาม
คำวิถีแห่งวีระบุรุษ ความหมายของชัยชนะ
และวิถีของการแข่งขัน เป้าหมายของชีวิต

ส่วนที่สองเริ่มต้นเมื่อ ฮั่ว หยวนเจี่ย ซัดเซพเนจร
ไปอยู่กับหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขา
วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย สมถะ ดูกลมกลืนกับฟ้าดิน
ทำให้เขาได้เรียนรู้วิถีใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม

ฉากหนึ่งที่ค่อนข้างจัดเจน
ถึงสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อในช่วงที่สองนี้คือ
ฉากที่ชาวนาทุกคนที่กำลังปักกล้าอย่างตั้งใจ
ยืนขึ้นรับลมเย็นๆ ที่โชยมา พร้อมกับฟังดนตรีแห่งสายลม
ที่บรรเลงผ่านการกระทบกันของยอดไผ่
แม้จะดูตั้งใจจนเกินไป
แต่ก็เป็นความตั้งใจที่ไม่ได้ทำร้ายผู้ดูอย่างข้าพเจ้า

แถมความชอบส่วนตัวอีกอย่างคือ
บรรยากาศ วิว ทิวทัศน์ ของหนังในช่วงนี้สวยงาม
เพื่อนๆ ที่ไปดูด้วยกัน ถามไถ่กันว่า มันถ่ายที่ไหน
หากไม่ไกลเกินไป พวกเราไปยลกันเถอะ

ส่วนที่สามของหนัง
เป็นส่วนที่มีความเป็นอำนาจนิยมสูงที่สุด
หนังจับประเด็นตอนที่ประเทศจีนถูกรุกรานด้วยชาวต่างชาติ
ซึ่งการรุกรานนั้นมันกินนัยยะทางศักศรี
และวัฒนธรรมดั่งเดิมหลายอย่าง
หนึ่งในสัญญะนั้นคือ วิธีแห่งชาวยุทธ แบบดั่งเดิม
ถูกดูหมิ่นให้ชาวจีน เป็นขี้โรคแห่งเอเชีย
แล้วท่านพี่ ฮั่ว ก็ต้องเป็นผู้มากอบกู้ศักศรีนี้

เนื้อหารวมๆของหนังก็มีเท่านี้

ส่วนความเป็นหนังจีน แบบหนังบู้ นั้นก็ทำได้ดี
พูดกันแบบกลางๆคือ ต้มยำกุ้ง องค์บาก
กลายเป็นการแสดงของเด็กไปเลย

Wednesday, March 01, 2006

พ ร ะ ร อ ง




- ๑ -



"แต่งงานกับเรานะ"
ผมพูดประโยคนี้ออกไป
ไม่มีเสียงตอบจากเธอ
จะมีก็เพียงเสียงสะอื้นที่ยังต่อเนื่องมาจากเรื่องเดิม

"เดี่ยวอาทิตย์นี้เรากลับบ้านไปคุยกับแม่
ให้ที่บ้านไปสู่ขอเป็นเรื่องเป็นราว"
ผมยังคงพูดอยู่ฝ่ายเดียว
ส่วนเธอก็คงยังสะอื้นไม่หยุด

จำไม่ได้แล้วว่าเราจบบทสนทนากันยังไง





- ๒ -




"เราคุยกับที่บ้านแล้วนะ" ผมเริ่มบทสนทนา
"อืม" เธอพูดสั้นๆแค่นี้
"แม่ถามเราว่า ไม่เด็กเกินไปเหรอที่จะแต่งงาน" ผมพูดต่อ
"แม่พูดถูก" เธอพูดสั้นๆ เหมือนเดิม
"แล้วข้อสำคัญที่แม่ถามคือ
ตกลงผู้หญิงเขาจะแต่งงานกับลูกเหรอ
แน่ใจนะ ไม่ใช่คิดเองเออเอง"
"..." เธอเงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ





- ๓ -




ผมยังจำครั้งแรกที่ผมขอแต่งงานได้ดี
วันนั้น ผมเพิ่งเป็นบัณฑิตหมาดๆและเพิ่งเริ่มทำงาน
วันนั้น ผมโทรไปหาเธอตามปกติ
แล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เธอกำลังอัดอั้นตันใจ

ที่บ้านกำลังจะบังคับให้เธอแต่งงานกับใครคนหนึ่ง
ใครคนนั้น คนที่เธอไม่ได้รัก คนที่เธอไม่ได้รอ
สิ่งที่ผมทำได้ ก็คือปลอบใจ และเสนอทางออก


ผมรู้ว่า ใครคือคนที่เธอรัก คนที่เธอรอ
ผมรู้ว่า คนๆนั้น ไม่ใช่ผม
ผมรู้ว่า สถานะของผมคือพระรอง
พระรองในละครหลังข่าว ไง
พระรองคือคนที่นางเอกสบายใจที่จะคุยด้วย
พระรองคือคนที่คอยปลอบใจนางเอก
พระรองคือคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อนางเอก
และผมก็ครองสถานะนี้มาตลอดจนเข้าปีที่ห้า
แต่ นางเอก ไม่เคยรักพระรอง
และ นิยายทุกเรื่อง นางเอกไม่เคยเลือกพระรอง


แล้วตามท้องเรื่อง พระรองก็ต้องแสดงสปิริต
"แต่งงานกับเรานะ"
บทละครทั่วไปก็ต้องเขียนให้พระรองทำแบบนี้
ในวันที่นางเอกประสบปัญหาแบบวันนี้

แต่ผมเป็นพระรองที่มีความคิดแบบตัวร้าย
เพราะผมกลับบ้านจริง และผมก็คุยกับแม่จริง
เพียงแต่ผมบอกแม่ว่า ผมอยากแต่งงาน
แม่ก็เลยบอกว่า ยังเด็กเกินไป อย่าเพิ่งรีบ
และข้อสำคัญแม่ยังสำทับว่า
หาผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยให้ได้ก่อนเถอะ แล้วคุยมาพูด
(อันนี้แม่รู้ทันได้ไงไม่รู้ ...ฉลาดนะแม่เรา)





- ๔ -




"ตกลงเราจะทำงานแค่ปีเดียวแล้วก็จะไปเรียนต่อโทแหละ"
ผมพยายามเล่าสิ่งที่ผมคิดให้เธอฟัง
"ถึงวันที่เราเรียนจบและกลับมาทำงานอีกครั้ง
ถ้าเธอและเรายังไม่มีใครเข้ามา เรามาแต่งงานกันนะ
เรามั่นใจว่าเราดูแลเธอได้ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน
เราก็แต่งงานกันแบบเพื่อนๆ นี่แหละ"
ผมมักเป็นฝ่ายพูดอยู่คนเดียวเสมอและเวลาเราคุยกัน


บทสนทนา(ฝ่ายเดียว)ครั้งนี้
ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่เราสองคนได้พูดกัน
เพราะหลังจากวันนั้น
เธอกลับไปอยู่บ้านเกิด
ผมเริ่มกลับมาเรียน เจอคนใหม่ๆ
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมามายในฝั่งของผม
และข่าวคราวของเธอก็หายไปจากผมในที่สุด





- ๕ -




3 ปีผ่านไป



"เธอเป็นไงบ้างละ ได้ข่าวว่าคบกับรุ่นน้องเหรอ"

เพื่อนผม แวะมาธุระที่กรุงเทพ แล้วก็บังเอิญเจอกัน
ผมก็เลยถามถึงข่าวเธอ
รู้ว่าเธอย้ายไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิดผม
ยังไม่แต่งงาน
แล้วเพื่อนผมก็ย้อนกลับมาถามผม
ทำเอาผมตกใจเล็กน้อย
เพราะเรื่องของผมมันไม่น่าจะรู้ถึงหูใครๆ ได้เลย

ครั้งนั้น
พระรองอย่างผมก็คงต้องรู้สึกไปตามที่ละครเขียนใว้นั่นแหละ






- ๖ -


6 ปีต่อมา เหตุการณ์เมื่อวาน

"เฟิง " เสียงผู้หญิงคนหนึ่งทัก
ผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอายุไม่เกิน 4 ขวบ
ผมหยีตามมอง เพราะขณะนั้นไม่ได้ใส่แว่น
ผมได้แต่ยิ้มเพราะยังจำไม่ได้
พอผมหยิบแว่นขึ้นมาสวมจึงจำได้
เพื่อนของผมสมัยเรียนนั่นเอง

เพื่อนของผมได้ทุนอาจารย์ที่มหาลัยที่เราเรียน
เพิ่งจบปริญญาเอกกลับมาได้สองเดือน
แต่งงานเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ตอนนี้มีลูกชายหนึ่งคน
และอีกคนที่กำลังอยู่ในท้อง

แล้วเพื่อนของผมก็เล่าถึงเพื่อนคนอื่นๆที่เพิ่งเจอ
เล่าไปเรื่อยๆว่าใครเป็นไงบ้าง
มีลูกกันกี่คนแล้วซึ่งส่วนใหญ่แต่งงานกันหมดแล้ว
แล้วก็เล่ามาถึงเธอ
ผมชิงถามว่า แล้วเธอมีลูกกี่คนแล้ว
เพื่อนผมซึ่งนอกจากจะเป็นเพื่อนเธอแล้ว
ยังเป็นญาติของเธอด้วย เล่าว่า

เธอยังไม่แต่งงาน

เราทั้งสองชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนที่จะหันไปคุยกันเรื่องอื่น

ผมเกิดความรู้สึกแปลกๆ
ความรู้สึกที่ผมชอบเรียกมันว่า
ความรู้สึกแบบพระรอง
และความรู้สึกนี้มันทำให้ผมนอนไม่หลับ

ผมกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เธอน่าจะเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆที่ได้แต่งงาน
เพราะทางบ้านของเธอช่างเร่งรัด

แล้วทำไมเธอจึงอยู่มาจนอายุเท่านี้
ในสังคมบ้านเธอ ผู้หญิงอายุเท่าเธอนั้น
เรียกได้ว่า หมดโอกาส ที่จะแต่งงาน ไปแล้ว

ผมค่อนข้างอยากรู้
เพื่อจะได้เชื่อมั่นได้เต็มร้อยว่า
หนึ่งปัจจัยอันน้อยนิดนั้น
ไม่มีเรื่องของผมสักกะพี้
เพราะผมยังเชื่อว่า
พระรองไม่มีผลกับนางเอก
(แม้จะไม่มั่นใจบ้างในบางชั่ววูบ)


ผมยังเชื่ออีกว่า
ถ้าผมเล่าเรื่องเธอให้บรรดาเพื่อนสนิทฟัง
ผมจะต้องถูกต่อว่าอย่างไรบ้าง
คำแนะนำของพวกมันจะออกมาในรูปไหน

แต่ไม่รู้สิ
ยังไงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเป็นพระรอง
ไม่เคยอยากเป็นพระรอง
เบื่อที่จะเล่นบทพระรองด้วย
ใครๆ ก็อยากเป็นพระเอกกันทั้งนั้น

แล้วอีกอย่าง
ความรู้สึก แบบพระรองที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
มันจะหายไปเองในวันนี้
ผมมั่นใจ


แล้วเธอละ !






หมายเหตุ.

เพื่อความสบายใจ ปลอดภัย ของใคร ทุกๆ คน
ข้อความข้างบนทั้งหมดคือเรื่องแต่ง ...