บึงหญ้าป่าใหญ่
หนึ่งในหนังสือดี หนึ่งร้อยเล่ม ที่เด็กไทยและเยาวชนควรอ่าน
เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสตรีสาร
และตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อปีพอศอ 2522
หลายคนอาจจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ นานมาแล้ว
แต่ข้าพเพิ่งจะมีโอกาส
สำนักพิมพ์ มติชน นำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง เป็นปกแข็ง
พร้อมภาพประกอบอันสวยงาม
จากฝีมือ อ. เทพศิริ สุขโสภา ผู้เขียน
บึงหญ้าป่าใหญ่
เป็นเรื่องเล่าผ่านประสบการณ์ของ "ผม"
เรื่องราวเริ่มต้นในวันที่โลกของผมกว้างขึ้นกว่าคำว่าบ้าน
วันที่ผมเดินไปโรงเรียนในวันแรก
จนกระทั่ง ผม เดินทางมาเมืองใหญ่ และกลับไปเยือน
เรื่องเล่าในบึงหญ่าป่าใหญ่ เป็นเรื่องเล่า
ถึงเรื่องราวใหม่ๆ ที่ผมพบเจอ
เล่าถึงครู เพื่อนเด็กเรียน เพื่อนเด็กเกเร เพื่อนเด็กโข่ง
เรื่องเล่าของผมค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
เหมือนกับโลกของเขาค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามวัย
จากแค่รอบบ้าน รอบโรงเรียน
จนถึงบึงหญ้าใหญ่ ไปจบที่เมืองกรุง
ฉากหลังของเรื่องเล่าทั้งหมด
คือภาพหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ทั้งป่าไม้ แม่น้ำ บึง สัตย์น้อยใหญ่ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
ทั้งหมดนี้คือ ทรัพยากรณ์สำหรับการเลี้ยงชีพของคนในหมู่บ้าน
และมันคือ ทรัพยากรณ์เพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆ
ฉากหลังที่อาจจะดูเป็นอดีต และค้นหาไม่เจอในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าอาจจะมีอายุมากเกินไปที่จะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล่าแบบนี้
ในบทแรกข้าพเจ้ายังหลงคิดไปว่า ผม เป็นช้าง
ที่กำลังเดินทางไปเรียนหนังสือ
ออกไปทางแนว ชีวิตฉัน ลูกกระทิง ที่ข้าพเจ้าเคยอ่านในวัยเยาว์
จนอ่านไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ
กับน้ำเสียงที่ผมพูดถึงโทน
มันทำให้ข้าพเจ้าต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ความรู้สึกแปลกๆที่ข้าพเจ้ารู้สึกนั่นมันคืออะไร
มันคือความรู้สึกที่เกิดจากทัศนคติแบบผู้ใหญ่ยุคนี้หรือเปล่า
ข้าพเจ้ากำลังนึกย้อนกลับไปในวัยเยาว์
เพื่อทบทวนตัวเองว่า
ข้าพเจ้าหลงลืมอะไรไปบ้าง
แต่ข้าพเจ้าก็หาไม่เจอ
ข้าพเจ้าไม่เคยมีเพื่อนหรือรุ่นพี่ผู้ชาย
คนที่ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเวลาอยู่ใกล้ๆ
คนที่ข้าพคอยมองตามหา
หรือหลบตาเมื่อเขามองมา
เพื่อนที่คอยปกป้องข้าพเจ้าเป็นพิเศษ
เพื่อนที่รับโทษแทนข้าพเจ้า
หรือเพื่อนที่คอยบอกข้าพเจ้าว่า ในทำนองว่า
เขาโอบผมใว้แน่น "ไม่ต้องร้อง ร้องทำไม"
เขาพูดผ่านไรฟันออกมา
ปลอบโยนเหมือนผมเป็นเด็กอ่อนๆมาเข้าโรงเรียนใหม่ๆ
ผมกลับร้องไห้ดังขึ้น ก็แค่นักเรียนสองคนกำลังปลอบโยนโอบกันใว้เฮ้อ
สงสัยสายตาบริสุทธิ์แห่งวัยเยาว์ของข้าพเจ้า
มันจะสูญหายไปนานแล้ว
หรือถ้าแย่กว่านั่นก็คือ
ข้าพเจ้าอาจจะไม่เคยมีสายตาบริสุทธิ์เลยก็ได้
ถ้าข้อเขียนนี้ไปกระทบกระเทือนใคร
ข้าพเจ้าก็ขออภัยใว้ ณ. ตรงนี้ด้วย