Monday, June 26, 2006

เรียนวาดรูป

วันศุกร์

ออกไปทำงาน
ถ่ายรูปอาคาร
เพื่อมาประกอบรายงาน
ประมาณเที่ยงครึ่งก็เสร็จ
หัวหน้าบอกว่าไม่ต้องกลับเข้าออฟฟิศ
เข้าทางโจร

คราแรกตั้งใจว่าจะไปดูหนัง
มีเรื่องให้เลือกคือ
always
paradise now
Tsoti - ไม่แน่ใจว่าเรียนแบบนี้หรือเปล่า
เอาเป็นว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งได้รางวัลออสการ์
หนังต่างประเทศ ปีที่ผ่านมา

แต่ก็ตัดสินใจไม่ดู
ก็เลยโต๋แต๋ไปในห้างพารากอน
เดินวนไปวนมา หางานของสมาคมจิตกรรมสีน้ำ
ก็เลยนั่งฟังเขาสอนวาดรูป
แล้วก็ได้ลงเรียนวาดรูปสีน้ำกะเขาด้วย

เขาสอนวาดหลายๆอย่าง
เช่น ต้นมะพร้าว ตะกร้า ดอกกล้วยไม้
ทะเล ดอกกุหลาบ เยอะแยะ
แต่ต้องไปหัดฝีมือก่อน
แล้วค่อยเอามาด้วย




คนนี้คืออาจารย์ที่สอน ชื่ออาจารย์ มานิตย์ ผู้นำกลุ่ม Hilight




นี่ก็ฝีมือข้าพเจ้า ดอกกุหลาบ
นี่ก็ดูดีกว่าที่เคยๆวาดตั้งเยอะนะเนี่ย

ใครอยากได้โปสการ์ดฝีมือข้าพเจ้า
ก็แจ้งที่อยู่มาได้
รับส่งทั่วราชอาณาจักร
555

Thursday, June 22, 2006

วันนี้ชูชกมาเอง

มื้อเช้าเริ่มต้นด้วย
ข้าวเหนียวเนื้อสองกล่อง
มื้อเที่ยงข้าวแกงตามปกติ
บ่ายสองเริ่มหิวมาก
ก็เลยรองท้องด้วย
ไอติมคอนเนตโต้
นมอีกหนึ่งกล้อง
ตบท้ายด้วยขนมถั่วทอดอีกหนึ่งถุง

อาการหิวยังไม่บรรเทา
บ่ายสี่เบเกอรี่ลดราคา
ก็เลยได้มาสามชิ้น
พัพใส้ชอคโกแลต
ครัวซองผักขม
ชิเนมอนโรล
หมดภายในพริบตา

เลิกงานยังไม่หายหิว
มื้อเย็นก็เป็น
ปลาหมึกยัดไส้ชุบแป้งทอด
สองชุดใหญ่ ราคา 80 บาท
ข้าวเหนียวอีก 5 บาท

ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอาการหิวอะไรนักหนา
แล้วก็หลับคาอาหารเลย


ตื่นมาก็งง


สงสัยวิญญาณชูชกเข้าสิง

Tuesday, June 20, 2006

HOW TO ฉบับ ดับทุกข์

จริงๆ ผมเขียนตอนจบของ เชื่อ ศรัทธา ปฏิบัติ เป็น


- วันเสาร์ -

เมื่อเชื่อในอะไรบางอย่าง
แสดงว่าศรัทธาด้วยการปฏิบัติ
ไม่ช่ายการพ่นลม ปล่อยน้ำลาย ...
(ออกจะแรงไปเนอะ)


- วันจันทร์ -


แล้ววงสนทนาก็แตก
เพราะทุกคนเบื่อ
พวกรู้น้อย
ด้อยประสบการณ์
บ้าจินตนาการ
แล้วพาลสงสัยไปเรื่อย

(อันนี้ก็ถูกต้องที่สุด)


เพื่อนคนหนึ่ง ถามต่อว่า
เชื่อในวิธีดับ(ทุกข์) แบบไหนหรือ

คำตอบคือ
ผมไม่เชื่อเรื่องดับทุกข์แบบถาวร
ไม่เชื่อว่ามีหนทางสู่นิพพาน
(หวังว่าใครผ่านมาอ่านแล้วคงไม่ว่ากันเน้อ)

แต่เชื่อว่า
คนเรามีทั้งสุขและทุกข์

สำหรับผม
ในเบื้องต้น เชื่อว่า
การไม่มีทุกข์
ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

ขั้นต่อมาก็คิดว่า
ถ้าเราอยากมีสุข ก็ต้องหาวิธีสร้างสุข
ถ้าเราไม่อยากมีทุกข์ เราก็หาวิธีป้องกัน
หากสร้างสุขไม่ได้ ป้องกันทุกข์ไม่เป็น
ก็ตัวใครตัวมัน

และขั้นกว่า ก็คิดว่า
เมื่อมีสุข ทำอย่างไรถึงจะรักษาความสุขได้นานๆ
เมื่อมีทุกข์ ทำอย่างไรให้มันผ่านไปโดยเร็ว
ทำขั้นนี้ได้ ก็จะเริ่มสายลมแสงแดดมากๆ
ฮา


ส่วนขั้นกว่าของขั้นกว่า ยังไม่ค่อยแน่ใจ
แต่น่าจะเป็น

ก็ตัดที่มามันซะเลย
อย่าให้มันเกิดขึ้นได้
ไม่มีทางเกิดขึ้นทั้งสุขทั้งทุกข์


อาทิเช่น

การมีลูก
คงจะมีความสุข แน่ๆ
(อันนี้ฟังๆ มาหลายสิปปีแล้ว
และก็เชื่อ ไม่เคยเถียงเลย เชื่อจริงๆด้วย)
แต่มันก็คงมีทุกข์ตามมามิใช่น้อยแน่เลย


การซื้อรถ
ก็คงจะดี
ไปไหนสะดวกสะบาย - จริงๆ อันนี้ก็ไม่แน่เนอะ
มีโอกาสพาคนรักไปเที่ยว - หมายรวมถึงพ่อแม่พี่น้องอะนะ
คงเป็นสุขดี แถมดูดี ไม่ต้องโหนรถเมล์ ยืนในรถไฟฟ้า
แต่คงทุกข์มิช่ายน้อยหากไม่มีเงินผ่อน
คงกังวลเล็กๆว่า ถ้าตรูตกงาน จะเป็นยังไง


การซื้อบ้าน
ก็คงจะดี
มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง
แต่การเป็นหนี้สามสิบปี
ดูมีภาระหนักหนามากๆ


ทั้งนี้ทั้งนั้น
ทั้งหมดที่ว่ามา
คิดเอง เออเอง
เอาเข้าจริงๆ
ไม่รู้จะเป็นยังไง


พอจะเข้าใช่ไหม
ว่าวงแตกเป็นยังไง
ฮา

Monday, June 19, 2006

เชื่อ ศรัทธา และ ปฏิบัติ

- วันเสาร์ -


คนโลเลก็ต้องโลเล
ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป
กลับไป กลับมา

จนคำตอบมันเปิดเผยตัวเอง
เมื่อมีภาพพลุปรากฏให้เห็น
ที่หน้าจอทีวี


อลังการ
สวยงาม
ตื่นตาตรึงใจ

คือความรู้สึกชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนที่อีกความรู้สึกจะวิ่งเข้ามาหา

มันเหมือนกำลังนำเงินมาเผา
เพื่อจะชื่นชมกับความงามของเปลวไฟ

เชื่อในความสมถะ
ศรัทธาในความพอเพียง
แต่ปฏิบัติอีกแบบ




- จันทร์ -


ผมไม่เคยอยากมีลูก


ผมพูดประโยคนี้กับพี่ๆ
เพื่อตอบคำถามว่า
ทำไม่ยังไม่อยากแต่งงาน

แล้วเหตุผลและความสำคัญของ ลูก
ก็หลั่งไหลมาจากรอบทิศทาง
ผมเห็นด้วย และไม่ขัดแย้งอะไร
เพียงแค่ยังคิดบางเรื่องไม่เสร็จ


พี่เชื่อในพระพุทธเจ้าไหม


ผมจึงโยนถามคำถามนี้ออกไป
ก่อนจะตามไปอีกประโยคว่า

พี่ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธศาสนาไหม

แล้วผมก็สาธยายความสงสัยออกไป
ราวกับว่าจะกลัวคนอื่นแย่งพูด

แล้วพระไม่เห็นต้องมีลูกเลยนิพี่
อันนี้ก็แนวคิดเดียวกัน
ผอนผันลงมาอีกหน่อย
แค่ไม่ต้องบวช
ประกอบอาชีพธรรมดา ที่ไม่ได้เรียกว่าพระ
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
ในเมื่อพวกพี่เชื่อและศรัทธว่าวิถีแห่งการดับทุกข์มันอยู่อีกทาง
แล้วทำไมพวกพี่กลับเลือกเดินไปอีกทางเสมอๆ


แล้ววงสนทนาก็แตก
เพราะทุกคนเบื่อกับ
พวกรู้น้อยแต่สงสัยบ่อย

Sunday, June 18, 2006

โทน ของ บึงหญ้าป่าใหญ่

บึงหญ้าป่าใหญ่
หนึ่งในหนังสือดี หนึ่งร้อยเล่ม ที่เด็กไทยและเยาวชนควรอ่าน
เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสตรีสาร
และตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อปีพอศอ 2522

หลายคนอาจจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ นานมาแล้ว
แต่ข้าพเพิ่งจะมีโอกาส

สำนักพิมพ์ มติชน นำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง เป็นปกแข็ง
พร้อมภาพประกอบอันสวยงาม
จากฝีมือ อ. เทพศิริ สุขโสภา ผู้เขียน

บึงหญ้าป่าใหญ่
เป็นเรื่องเล่าผ่านประสบการณ์ของ "ผม"
เรื่องราวเริ่มต้นในวันที่โลกของผมกว้างขึ้นกว่าคำว่าบ้าน
วันที่ผมเดินไปโรงเรียนในวันแรก
จนกระทั่ง ผม เดินทางมาเมืองใหญ่ และกลับไปเยือน

เรื่องเล่าในบึงหญ่าป่าใหญ่ เป็นเรื่องเล่า
ถึงเรื่องราวใหม่ๆ ที่ผมพบเจอ
เล่าถึงครู เพื่อนเด็กเรียน เพื่อนเด็กเกเร เพื่อนเด็กโข่ง
เรื่องเล่าของผมค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
เหมือนกับโลกของเขาค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามวัย
จากแค่รอบบ้าน รอบโรงเรียน
จนถึงบึงหญ้าใหญ่ ไปจบที่เมืองกรุง

ฉากหลังของเรื่องเล่าทั้งหมด
คือภาพหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ทั้งป่าไม้ แม่น้ำ บึง สัตย์น้อยใหญ่ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
ทั้งหมดนี้คือ ทรัพยากรณ์สำหรับการเลี้ยงชีพของคนในหมู่บ้าน
และมันคือ ทรัพยากรณ์เพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆ
ฉากหลังที่อาจจะดูเป็นอดีต และค้นหาไม่เจอในปัจจุบัน


ข้าพเจ้าอาจจะมีอายุมากเกินไปที่จะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล่าแบบนี้
ในบทแรกข้าพเจ้ายังหลงคิดไปว่า ผม เป็นช้าง
ที่กำลังเดินทางไปเรียนหนังสือ
ออกไปทางแนว ชีวิตฉัน ลูกกระทิง ที่ข้าพเจ้าเคยอ่านในวัยเยาว์

จนอ่านไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ
กับน้ำเสียงที่ผมพูดถึงโทน

มันทำให้ข้าพเจ้าต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ความรู้สึกแปลกๆที่ข้าพเจ้ารู้สึกนั่นมันคืออะไร
มันคือความรู้สึกที่เกิดจากทัศนคติแบบผู้ใหญ่ยุคนี้หรือเปล่า

ข้าพเจ้ากำลังนึกย้อนกลับไปในวัยเยาว์
เพื่อทบทวนตัวเองว่า
ข้าพเจ้าหลงลืมอะไรไปบ้าง
แต่ข้าพเจ้าก็หาไม่เจอ

ข้าพเจ้าไม่เคยมีเพื่อนหรือรุ่นพี่ผู้ชาย
คนที่ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเวลาอยู่ใกล้ๆ
คนที่ข้าพคอยมองตามหา
หรือหลบตาเมื่อเขามองมา
เพื่อนที่คอยปกป้องข้าพเจ้าเป็นพิเศษ
เพื่อนที่รับโทษแทนข้าพเจ้า
หรือเพื่อนที่คอยบอกข้าพเจ้าว่า ในทำนองว่า

เขาโอบผมใว้แน่น "ไม่ต้องร้อง ร้องทำไม"
เขาพูดผ่านไรฟันออกมา
ปลอบโยนเหมือนผมเป็นเด็กอ่อนๆมาเข้าโรงเรียนใหม่ๆ
ผมกลับร้องไห้ดังขึ้น ก็แค่นักเรียนสองคนกำลังปลอบโยนโอบกันใว้



เฮ้อ
สงสัยสายตาบริสุทธิ์แห่งวัยเยาว์ของข้าพเจ้า
มันจะสูญหายไปนานแล้ว
หรือถ้าแย่กว่านั่นก็คือ
ข้าพเจ้าอาจจะไม่เคยมีสายตาบริสุทธิ์เลยก็ได้


ถ้าข้อเขียนนี้ไปกระทบกระเทือนใคร
ข้าพเจ้าก็ขออภัยใว้ ณ. ตรงนี้ด้วย

Friday, June 16, 2006

ความบกพร่องที่มีชื่อว่า พิเศษ

อาทิตย์ก่อนโน้น
เจ้านายสั่งให้ออกไปถ่ายรูป

งานเสร็จเร็วกว่าเวลาเลิกงาน
แต่ก็ช้าเกินกว่าจะกลับเข้าออฟฟิศ

ถือเป็นโอกาสเหมาะของโจร

ดูหนังรอบสี่โมงเย็น
ในวันศุกร์ ที่สยาม

555
ทำตัวเป็นเด็กนักเรียนมาก
เพราะสยามมีแต่เด็กนักเรียนไง

หนังที่เลือกดูคือ X- Men ภาคสาม

ดูหนังจบ
กลับไปร้านวีดีโอ
เช่าภาคหนึ่งและภาคสองมาดู

แถม Underworld Revolution มาอีกเรื่อง



X-Men I


หนังเปิดตัวว่าด้วยเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์
จากปกติที่จะค่อยๆดำเนินไป
ต้องใช้เวลานับหมื่นนับพันปี
เราถึงจะเห็นความเปลี่ยนที่ชัดเจน
แต่ในแต่ละครั้งของการเปลี่ยนแปลง
จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่วิวัฒนาการเกิดการก้าวกระโดด

และนี่คือที่มาของมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย

แล้วทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ว่าจะเรียกการกลายพันธุ์นี้ว่า
ความพิเศษ หรือ ความบกพร่อง

X- Men ภาคแรกเกิดปัญหา
เพราะทางรัฐต้องการให้ขึ้นทะเบียน
และระบุความพิเศษของมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องปกป้องตัวเอง

มันจึงเป็นที่มาของสงครามระหว่างฝ่ายร้ายและฝ่ายดี

ในภาคแรกนี้มีตัวเด่นๆ ก็
ไซครอป ที่ตายิงแสงเลเซอร์ได้
สตอร์ม เรียกพายุได้
หรือความสามารถพิเศษอื่นๆ
แต่ล้วนแต่ออกแนวการ์ตูนทั้งสิ้น
เกินจินตนาการแห่งวิทยาศาสตร์

รวมๆ ก็สนุกแหละ




X-Men II


ภาคนี้กลับไปพูดถึงที่มาของตัวละครหลักอีกตัวนั่นคือ
ตัวละครที่สามารถงอกมีดออกมาจากร่างกายได้นั่นแหละ

ภาคนี้ดูสนุกที่สุด

ตัวละครที่น่าสนุก การ์ตูนมากๆ คือ
ตัวละครที่สามารถหายตัวได้นั่นแหละ
(จริงๆเรียกว่า ทรานอะไรสักอย่างเนี่ยะแหละ)




X-Men III

และก็มาถึงภาคจบของชุดนี้
และก็เป็นไปตามยุค
ถ้าเราดูหนังแนวนี้ในยุดนี้
ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนอย่าง อินคลิเดเบิล หรือ ไอ้แมงมุมสอง

ตัวละครจะถูกตั้งคำถามว่า

มันควรจะมีอยู่หรือไม

ก็ยุคสมัยมันกำลังสงสัยกันเรื่องนี้นี่นา

X-men ภาคสามจึงมีประเด็นว่า
หากมียาที่สามารถรักษาความบกพร่องนี้ได้

ความบกพร่องควรจะถูกรักษาไหม

(จริงๆมันฟังแปลกๆนะ ถ้าจะตั้งคำถามว่า
ความพิเศษนี้ ควรจะถูกรักษาไหม)

แต่เอาเป็นว่า
ภาคสามสนุกน้อยกว่าภาคสอง


แล้ว


Underworld Revolution
ก็สนุกน้อยกว่าภาคแรกด้วยเหมือนกัน


จบห้วนๆ แบบนี้แหละ

Thursday, June 15, 2006

รอบสัปดาห์

วันจันทร์

เช้า
นั่งฟังที่ประชุมเรื่องเงินๆ ทองๆ

บ่าย
เตรียมข้อมูลประชุมวันรุ่งขึ้น


วันอังคาร


เช้า
ประชุมเรื่องเงินๆ ทองๆ ต่อ


บ่าย
ไปดูงานที่ศูนย์ควบคุมรถไฟฟ้าใต้ดิน



อาคารทางเข้า แหงนหน้ามอง





รถทุกขบวนถูกควบคุมจากห้องนี้ เขียวๆ บนจอคือขบวนรถ






วันพุธ



เดินทางไปชะอำ เพื่อสัมมนาต่อ
เรื่องรถไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รฟม รฟท กทม สำนักงบ กรมทางหลวง สภาพัฒณ์ สตง
เยอะแยะไปหมด จัดโดย สนข และ บริษัทที่จ่ายเงินเดือนข้าพเจ้า



ห้องพัก ที่อิมพีเรียล กอล์ฟ คลับ







ในห้องประชุม เอาเพดานมาให้ดู
รูปอื่นๆ เป็นเรื่องของงาน






เลิกสัมมนาตอนเย็น ก็ว่ายน้ำเล่นที่สระนี้
น้ำเค็มมากๆ ทั้งๆที่ไกลทะเล
ก่อนจะกินมื้อค่ำที่อิ่มมากๆ





วันพฤหัส


เช้า

สัมมนาต่อ ฝรั่งพูดล้วนๆ
คนไทยหายไปตีกอล์ฟกันหมด


บ่าย

เดินทางกลับ
แวะที่เอ้าท์เลตแห่งใหม่
ของเยอะแยะมาก





ศุกร์



ประชุมเกือบทั้งวัน
ตอนเย็นแวะไปถ่ายพลุที่สวนเบญจกิติ
คนเยอะมาก
ถ่ายออกมาได้ห่วยมากๆ
อายมากๆ ไม่กล้าให้ใครดู

แต่ก็เรียกชาวบ้านเขามาดูกันเกือบทั้งออฟฟิศ


วันเสาร์


เดินทางกลับบ้าน
ด้วยสายการบินนี้
ราคา 1950 บาท
ได้ที่นั่งสุดท้ายพอดี

ขากลับยังไม่รู้ชะตา






อาทิตย์ - จันทร์ - อังคาร


อยู่บ้าน
นอน
กิน
คุยกับแม่
เล่นกับหลาน
อ่านหนังสือ
แล้วก็ถ่ายต้นหญ้าที่กำลังจะยึดบ้าน





ไม่รู้หญ้าอะไร ออกดอกรอบๆบ้าน
เยอะมากๆ






ข้างๆบ้านอันแสนจะรก
เพราะไม่ไม่มีคนคอยตัด
เฮ้อ





แม่หมีของหลานสาว
กับที่นั่งจะจำของเธอ
หลานสาวหวงมาก
ใครห้ามแตะ




วันพุธ



ถึง กทม ประมาณตีห้า
มาด้วยรถทัวร์

เจอเรื่องไม่ค่อยดี
แต่ไม่อยากเขียนถึง

เริ่มทำงานอีกรอบ
งานยุ่งมาก
ก็เรื่องเงินๆ ทองๆ อีกนั่นแหละ

ตอนเย็นแวะไปอีกกำลังกาย
กว่าจะนอน ตีสี่

ไม่ได้กะจะดูบอล
แต่มันนอนไม่หลับ
เพราะดื่มกาแฟตอนห้าโมงเย็น



พฤหัสบดี


ประชุมแต่เช้า
บ่ายก็วุ่นอีกงาน
ตอนนี้ 16.38 อู้งาน
และกำลังจะดื่มกาแฟอีกแล้ว 555



ศุกร์

เขียนล่วงหน้า


ประชุมตลอดทั้งเช้า
บ่าย วุ่นวายกับการแก้ไขงาน

Monday, June 05, 2006

วันธรรมดา ของ คนธรรมดา

หกโมงเช้า เสียงนาฬิกาปลุกดัง
ปิดนาฬิกา แล้วนอนต่อ

เจ็ดโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว
แวะซื้อข้าว สำหรับมื้อเช้าและมือเที่ยง

ถึงที่ทำงานก่อนแปดโมง
ทานมื้อเช้า

เปิดคอมพ์
เช็คเมลล์ อ่านข่าว
แล้วก็ดูรูปท่องเที่ยวจากเว็ปต่างๆ

สายๆ เริ่มทำงาน
ทำงาน และพักบ้างตามสภาพ
จนถึงเที่ยง

ทานข้าว
เล่นเนตเน้นด้านบันเทิงทั้งหลาย

บ่ายโมงเริ่มทำงาน
ทำงาน และพักบ้างตามสภาพ

ห้าโมงเย็น เวลาเลิกงาน
นั่งเล่น คุยกับคนโน้นคนนี้อีกสักเล็กน้อย
ใกล้ๆ หกโมงออกจากที่ทำงาน

แวะออกกำลังประมาณสองชั่วโมง

จากนั้นก็แวะไปทำงานฝิ่น

หากงานยุ่งก็ทำแต่งาน
แต่ส่วนใหญ่ก็คุยเล่นกันซะมากกว่า
ประมาณห้าทุ่มก็กลับที่พัก

แล้วก็นอนอน

วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นเแบบเดิม

ยกเว้นวันศุกร์
จะหาทางออกไปเที่ยวต่างจังหวัด
เพื่อใช้ชีวิตในโหมดวันหยุด

กลับถึงกทม ในวันอาทิตย์ หรือจันทร์เช้า
เพื่อเข้าสู่โหมด วันธรรมดา

ในโหมดวันหยุด
หากไม่ได้ไปต่างจังหวัด
ก็จะเช่าหนังมาดู
ออกไปทานข้าวกับเพื่อนๆ
หรือทำอะไรก็ได้ที่น่าสนใจในช่วงนั้นๆ

แล้วชีวิตธรรมดาแบบนี้
ต้นทุนมันสูงไม๊

ข้าพเจ้าก็คงตอบว่าไม่
ในมารตรฐานของข้าพเจ้าเอง

รายได้หลักในแต่ละเดือน
ซึ่งก็อยู่ในมาตรฐานของคนทั่วไป
ครึ่งหนึ่งข้าพเจ้าเก็บใว้
อีกครึ่งที่เหลือก็นำมาใช้แบบดังกล่าว

ส่วนรายได้จากงานฝิ่นนั่น
ก็ถือว่าเป็นโบนัส
นำไปใช้สอย หรือเก็บใว้
ก็แล้วแต่อารมณ์
อาจจะเป็นการตามใจตนเอง
หรือตามใจคนอื่น ก็ไม่เป็นไร


- - - - - -

คนทั่วๆ ไปไม่ได้มีชีวิตธรรมดา ธรรมดา แบบนี้หรอกหรือ

ข้าพเจ้านึกทบทวน
กับคำถามนี้มาหลายวัน

ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่า
นี่มันเป็นชีวิตของคนธรรมดา
และคนส่วนใหญ่ก็น่าจะมีชีวิตแบบนี้

หรือว่าข้าพเจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอีกแล้ว