Thursday, May 31, 2007

Rehabilitation


หลังจากผ่านสงกรานต์ที่แชงกรีลา
มันเหมือนกับว่าหลายสิ่งหลายอย่าง
ต้องมาเริ่ม และทบทวนกันใหม่อีกครั้ง

Rehabilitation
ศัพท์ทางเทคนิคคำนี้น่าจะเหมาะที่สุด
ในช่วงเวลานี้ของชีวิต

Rehab = ทบทวน ประเมิณของเดิม คงใว้ในส่วนดี และซ่อมแซมในส่วนเสีย

ช่วงเวลาที่เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล
ภาพผู้คน คนป่วย ญาติที่เฝ้าไข้ รวมถึงคนมาเยี่ยม
หลายๆเรื่องผ่านเข้ามาให้ขบคิด

แม้กระทั่งหลังสือหลายๆเล่มที่ได้อ่านขณะเฝ้าไข้
ทำให้กลับมาคิดในบางเรื่อง ที่หลงลืมไปหรือละเลย
รวมทั้งบางเรื่องที่มั่นใจไปแล้ว
ก็ถูกกลับยกมาทบทวนอีกครั้ง

เรื่องการงาน อาจจะถึงเวลาแล้ว
ที่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างจะต้องมีการทบทวน
ประเมิณทุกๆด้านอย่างรอบคอบ
มองหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง
ความรู้หลายๆด้านที่ลืมเลือนไป
ต้องหันกลับมาปัดฝุ่นอีกรอบ
เหมือนกับว่าบางครั้งการทำงานเยอะๆ
ก็เป็นแนวทางการใช้ชีวิตแบบหนึ่ง
เพราะการลงทุนลงแรงเยอะๆ
ย่อมหมายถึงสิ่งตอบแทนที่กลับมา

ต้องหาจังหวะและความพอดี
ระหว่างการงานและการใช้ชีวิต
เพราะจำนวนอายุงานที่เพิ่มขึ้น
ทางเลือกของการไปข้างหน้า
ที่ความรับผิดชอบมากขึ้น
กับการเลือกยืนอยู่กับที่ ง่ายๆสบายๆ
มันก็ต้องมีผลกระทบกลับมาที่ต่างกัน
ต้องทบทวน และเลือกมัน
เผื่อวันหน้าผลอะไรตามมาจะได้ยินดีรับ

(มีอีกเรื่องที่คิด แต่ไม่เขียน ...การมีครอบครัว)

ส่วนในเรื่องของการท่องเที่ยว ถ่ายรูป
ไม่ได้จับกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีกเลย
นัดเพื่อนไปเที่ยว แล้วก็ต้องยกเลิก
จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา

จนล่าสุดได้มีโอกาสไปเดินป่า เขานมนาง
ก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปเช่นเดิม เพราะไม่ได้พกกล้องไป
รูปประกอบจากเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกัน
ยืมเขามาแบบไม่ได้บอกกล่าว

การเดินป่าสำหรับบางคนมันเหมือนการทำสมาธิ
ทุกจังหวะที่เราก้าวเดิน จะต้องมีสติตลอดเวลา
เพราะเส้นทางที่เดินย่อมที่ทั้งก้อนหิน หลุม หรือรากไม้
และที่สำคัญคือ มันมีความสวยงามของธรรมชาติให้ดื่มด่ำ
จะเลือกชื่นชมกับธรรมชาติอย่างไร
เลือกที่จะรีบเดิน หรือ เลือกที่จะยืนมองนานๆ
หรือเดินไป ชมไป พร้อมๆ กับคอยระวังจังหวะก้าวเดิน

แม้จุดหมายปลายทางของทุกคนที่อยู่ที่เดียวกัน
เส้นทางที่เดินก็เป็นเส้นทางเดียวกัน
หรือแม้แต่ว่าเราจะเดินตามหลังคนนำทางอย่างใกล้ชิด
แต่เราทุกคนก็ต้องมีจังหวะการก้าวเดินเป็นของตัวเอง

มันอาจจะพูดแบบนิทานอีสบได้ว่า
ชีวิตจริงก็ย่อมเหมือนกัน
แม้เราจะต้องใหลไปตามกระแส
เลือกเดินทางเหมือนๆกับคนอื่น
แต่จังหวะการก้าวเดินของต้องเป็นตัวของเราเอง
เลือกที่จะใช้ชีวิต และชื่นชมกับความงามของชีวิต
ที่เหมาะสมกับตัวเอง

- - - - - - - - - -



การนั่งมองไม้ใหญ่เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ดูสงบ เยือกเย็น มีน้ำใจ แต่ยิ่งใหญ่







ไม้ใหญ่บนนมนาง สำหรับหลบแดด ชมวิว
ลมพัดเย็นสบาย เรื่องราวหลายๆอย่าง
ดูเล็กน้อย ในบรรยากาศแบบนี้

Thursday, May 03, 2007

วัดทอง Golden Temple - Jin Dian







รถนอนจากลี่เจี่ยงมาถึงคุนหมิงประมาณตีห้า
พวกเราเลือกโรงแรมที่ใกล้ที่สุด
จัดการเช็คอิน แล้วนอนหลับ

กว่าจะขยับตัวอีกครั้งก็เก้าโมงกว่าๆ
โครงการไปเที่ยวป่าหินงามจึงริบหรี่

จากที่พักเราเดินไปแถวโลตัสเพื่อหาอะไรกิน
เสร็จจากมื้ออาหารเราทั้งสี่ก็แยกกันสองกลุ่ม
สองคนอยู่เดินดูของ
อีกสองคนพยายามหาทางไปเที่ยวป่าหินงาม

แต่แล้วความพยายามก็ไม่สำเร็จ - ดังคาด
เพราะการไปป่าหินงามซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบ 100 กิโล
ต้องการเวลามากกว่าที่เรามี

เราจึงเลือกไปเที่ยวใกล้ๆ
และที่เราเลือกคือ Golden Temple หรือ ตำหนักทอง

ตำหนักทองนี่สร้างขึ้นใน ค.ศ 1671
ได้รับการยกย่องว่าสวยและปราณีตที่สุดในจีน
อืม ก็ไม่รู้สินะ เพราะแยกไม่ค่อยออก

รอบๆตำหนักทองคือสวนสาธารณะ
เต็มไปด้วยต้นสน และดอกไม้
ดอกไม้ที่ว่าคือ ดอกกุหลาบพันปี
หลากสีสรรค์และหลากพันธุ์













ในวันอาทิตย์แบบนี้
ชาวจีนที่สูงอายุก็อาศัยพักผ่อน
ทำกิจกรรม ผ่อนคลาย พบปะเพื่อนฝูง
หนึ่งกิจกรรมที่เห็นเยอะมากๆที่สุด
ประมาณว่าเต็มพื้นที่สวนสาธารณะคือ การเล่นไพ่นั่นเอง
อีกกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวอย่างเราชอบคือ
บรรดาชมรมนักดนตรีประสานเสียง
ดนตรีฟรีๆ แถมบรรยากาศสวยงาม
ยิ่งชอบ










รูปสุดท้ายคือ ดอกคาเมเลีย

Wednesday, May 02, 2007

วัด ซงซานหลิน - Songzanlin Si




ตามข้อมูลบอกว่า
วัดซงซานหลิน เป็นวัดธิเบตนิกายเกลู
ที่จำลองพระราชวังเมืองลาซา
บางจึงเรียกว่า Little Potala - โปตาลาน้อย
ตามข้อมูลยังบอกอีกว่าสร้างเมื่อ ค.ศ 1679
เลือกสถานที่ก่อสร้างด้วยทะไลลามะองค์ที่ 5

วัดนี้ใหญ่โตและตั้งอยู่ในทำเล
ที่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆจากเมืองจงเตี๋ยน
โดยที่เฉพาะจากที่พักของเรา
สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากหน้าต่าง

พวกเราเดินทางไปท่องเที่ยววัดซงซานหลินในตอนเช้า
นักท่องเที่ยวอุ่นหนาฝาคลั่ง
เพราะเจอคนไทยเยอะมาก
พวกเรารู้สึกอบอุ่นมากกว่าอึดอัด
สงสัยเพราะเราท่องเที่ยวมาเกือบสิบวัน
ครั้นพอมาเจอคนพูดภาษาเดียวกันเยอะๆ
ก็รู้สึกสบายใจซะงั้น ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักหรือทักทายกันเลย

ตอนเช้าบรรดาพระเดินออกมาเต็มลานวัด
เพราะถึงเวลาเสียงกลองดัง
ทุกคนก็วิ่งเข้าโบส
เพื่อสวดมนต์ตอนเช้า
ลานวัดจึงเริ่มโล่ง
ถือเป็นสองบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง