๒๑ เมษายน ๑๕.๓๐ น
ฉันยืนอยู่ที่หน้าสนามบินในจังหวัดบ้านเกิด
ผู้โดยสารคนอื่นๆทยอยกันออกไปจนหมด
จนสนามบินอยู่ในสภาพราวกับสนามบินปิด
เงียบจนกระทั่งเสียงใบไม้แห้งที่ถูกลมพัด
เป็นเสียงที่อึกทึกที่สุดในขณะนั้น
นี่คงเป็นผลพวง
ของเหตุการณ์ความไม่สงบ
ในสองสามปีหลังมานี้
หากเป็นไปตามที่วางแผนกับเพื่อนๆ
ณ เวลานี้ ฉันควรจะเดินเล่นอยู่ริมฝั่งโขง
แถวๆ อำเภอเชียงคาน
แต่บางเรื่อง มันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
รถของพี่ชายวิ่งตรงมาที่ฉันยืนอยู่
หลานๆ นั่งอยู่ในรถ
เราทั้งหมดตรงไปโรงพยาบาลทันที
เพราะนี่คือ เป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้
ที่โรงพยาบาล
พวกเราพี่น้องทั้งหกพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
โดยปกติแล้วพวกเราจะเจอหน้าพร้อมเพรียงกัน
ปีละครั้งสองครั้ง ในเทศกาลวันตรุษเล็กและตรุษใหญ่
ยกเว้นเหตุการณ์ไม่ปกติแบบนี้ ในวันที่แม่ป่วย
โดยความที่อายุในแต่คนห่างกัน
วันที่คนหนึ่งกำลังโต อีกคนก็ออกจากบ้านไปเรียน
พวกเราพี่น้องจึงหาโอกาสพร้อมหน้าพร้อมตากันน้อย
และจังหวะชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา
ด้วยเหตุกระมังที่น้อยครั้งนักที่พวกเราทั้งหกคน
จะมีความเห็น หรือแนวทางในเรื่องต่างๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ
ด้วยความเป็นพี่น้องนี่แหละ
มันจึงเหมือนมีใยบางๆ ดึงพวกเราใว้ไม่ให้ขาดจากกัน
ฉันเคยคิดว่าใยเหล่านั้นคือพ่อแก่และบ้านเกิด
วันนี้ ฉันและพี่สาวคนรอง รับหน้าที่เฝ้าแม่
ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเล็ก
ฉันยังคงหยอกล้อและกระเซ้าแม่ไปตามประสา
อย่างน้อยแม่ก็ยิ้มและหัวเราะได้บ้าง
ฉันรับหน้าที่นี้มาตลอดตั้งแต่จำความได้
ฉันเคยสังเกตุและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อ
ว่าทำไมวิธีการพูดจาและวิธีแสดงความห่วงใยของพ่อแม่
ที่มีต่อลูกๆแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน
พ่อบอกว่าวันหนึ่งฉันจะเข้าใจหากฉันมีลูก
เพราะลูกๆแต่ละคนบุคลิกไม่เหมือนกัน
วิธีการดูแลจึงไม่เหมือนกัน บางครั้งจึงดูราวกับว่า
พ่อแม่จะรักลูกคนโน้นมากโอ๋ลูกคนนั้นจัง
ในสายตาของลูกๆ แต่พ่อแม่ก็ยังยืนยันว่า
รักและห่วงเหมือนๆกัน แต่แสดงออกไม่เหมือนกัน
ฉันยังไม่เชื่อพ่อนักหรอก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะค้าน
เพราะฉันได้รับสิทธิพิเศษในฐานะลูกคนสุดท้องเสมอ
พี่ๆ จึงชอบพูดกันว่า
แม่จะมีกำลังใจดีมาก
หากฉันเป็นคนเฝ้าไข้
ฉันมักยอมรับและถือว่า
นี่คือสิทธิพิเศษของฉัน
และคืนแรกก็ผ่านไป
โดยที่ฉันเป็นคนเดียวที่ตื่นอยู่ใน ward นั้น
แม้กระทั่งพยาบาลเกือบสิบกว่าคนยังแอบงีบหลับ
๒๒ เมษายน ๙.๐๐ น
บรรดาหมอเริ่มตรวจคนไข้
ฉันถามหมอว่าแม่อาการดีขึ้นพอ
ที่จะย้ายไปอยู่ห้องพิเศษได้หรือยัง
หมอบอกว่า อยากให้อยู่ห้องนี้
พยาบาลจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด
ฉันถามหมอกลับไปว่า
ดูแลอย่างใกล้ชิดแปลว่าอะไร
ถ้าหมายความว่าการเดินมาวัดอุณหภูมิและความดัน
ในทุกๆชั่วโมง แปลว่าดูแลใกล้ชิด
ฉันก็เชื่อว่าการอยู่ห้องพิเศษก็ทำแบบนี้ได้
หมอบอกว่าอย่าเพิ่งใจร้อน
แล้วก็เดินจากไป
แล้วพี่ชายอีกคนก็มาถึงในเวลาเที่ยง
พี่ๆอยากให้ฉันกลับไปนอนพักก่อน
เย็นๆค่อยกลับมาใหม่
โดยเปลี่ยนเป็นพี่สาวคนโตมาเฝ้าแม่แทน
หลังจากได้พักผ่อน
ฉันกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็น
พี่สาวคนโตเล่าถึงเรื่องพฤกติกรรมต่างๆของพยาบาลให้ฟัง
(เรื่องนี้ฉันจะข้ามไป เพราะได้ต่อว่าเพื่อนที่เป็นอาจารย์พยาบาลไปแล้ว)
ในช่วงที่หมอมาตรวจคนไข้
มีหมอสามคน เหมือนกับเพิ่งเรียนจบ
มายืนถกเถียงกันว่าจะรักษาอาการแม่ของฉันยังไง
ทุกคำพูดที่พูดกันออกมาแสดงถึงความไม่แน่ใจ
ฉันอยากเดินเข้าไปถามว่า ถ้าจำไม่ได้กลับไปอ่านหนังสือก่อนก็ได้
หรือถ้าในหนังสือไม่มี ก็กลับไปเรียนใหม่
แม่ฉันไม่ใช่หนูทดลอง ที่จะมานั่งคาดการณ์
กรุณาอดอีโก้ และโทรไปถามหมอประจำของแม่
ที่ตอนนี้เดินทางไป กทม ก็ได้
แต่พี่ๆ ก็ห้ามใว้
ฉันบอกพี่ๆว่า
ฉันเข้าใจว่าทุกคนเรียนมามันก็ต้องมีการลืม
การไม่เข้าใจ หรือ การไม่รู้อยู่ในนั้น
ใช่ว่าสอบผ่านจะรู้หมด
แต่อาชีพหมอเป็นอาชีพที่ต้องการการผิดพลาดน้อยมากๆ
เพราะมันหมายถึงชีวิตคน
ทุกคนจะต้องตั้งใจและระลึกใว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ไม่ได้มีใครบังคับให้เรียน
แถมค่าตอบแทนที่ได้รับก็ถือว่าสูง
สังคมให้ราคาตอบแทนที่สูง
ก็ต้องมีความรับผิดชอบที่สูงตามไปด้วย
แล้ววันนี้ทุกคนก็บอกว่าให้ฉันกลับไปนอนบ้าน
หลักๆคือไม่อยากให้ฉันเจอกับหมอ
เพราะฉันมักมีคำถามที่อาจจะทำให้เทวดาเหล่านั้น
เกิดความขุ่นข้องหมองใจได้
๒๓ เมษายน ๑๑.๐๐ น
พวกเราออกจากบ้าน
เพื่อไปเปลี่ยนเวรพี่ๆที่เฝ้าแม่
ฉันแบกกระเป๋าใบเดิม
เพราะจะเลยไปสนามบินในตอนเย็น
ไม่ต้องการแวะกลับมาที่บ้านอีกให้เสียเวลา
วันนี้หมอเฉพาะทางด้านไตมาดูแลแม่
บรรดาสายน้ำเกลือและยาต่างๆก็ถอดออกหมด
อาการแม่กำลังดีขึ้นตามลำดับ
พวกเราคาดหวังกันว่าจะได้ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษ
มุมหนึ่งอาจจะมองว่าเรื่องมาก
แต่พวกเราก็อยากให้แม่มีกำลังใจที่ดี
เพราะสภาพแวดล้อมของward ที่พักอยู่
มันน่าหดหู่ บันทอนกำลังใจ และสูดพลังจากชีวิต
จากทั้งคนป่วยและคนเฝ้าไข้มากเกินไป
อย่างน้อยห้องพิเศษก็มีความเป็นส่วนตัว
และไม่ต้องทนเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้
ทุกๆครั้งที่มีใครป่วยทุกคนมักพูดเสมอว่า
"ทำไมไม่เรียนหมอ"
ฉันมักตอบไปว่า มันเปลี่ยนไม่ทันแล้วแหละ
หรือไม่ก็บอกว่า ฉันไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นหมอ
หลังๆมานี้
คำตอบของฉัน มักจะแผ่วเบาลงเรือยๆ
ฉันไม่อยากรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว
เที่ยวบินขากลับของฉัน
เป็นเที่ยวดึกสุด ผู้คนบางตา
ไม่ต้องแย่งที่นั่ง
ระหว่างที่เดินทางกลับ
มันทำให้ฉันมีเวลานิ่งๆ
และคิดทบทวนในหลายๆเรื่อง
โลกเป็นอย่างที่มันเป็น
เพราะมีสาเหตุความเป็นมา
อยากเปลี่ยนมันไปในทางที่ดี
อยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่เป็นไร
แต่จะต้องรู้ว่ามันมีกฏกติกาของจักรวาล
ที่ไม่ได้เปลี่ยนตามใจเรานึก
เราทำเท่าที่ดีที่สุดก็พอแล้ว