Thursday, April 26, 2007

ตลาด ๒


ตลาดแต่ละที่มีบุคลิกไม่เหมือนกัน
สะท้อนภาพของผู้คนในเมืองนั้น
คุณหมิง อาจจะมีตลาดสด
แต่เราไม่ได้เห็นมุมนั้น
เรากลับเจอแต่คาร์ฟูในวันอาทิตย์
ที่เต็มไปผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย
ส่วนมากก็เป็นการซื้อของอุปโภคบริโภค
เหมือนกับเมืองใหญ่ๆโดยทั่วไป

มีผลไม้หลากหลายชนิดที่มีขายอยู่ตามแผงลอย
บริเวณด้านหน้าซุปเปอร์มาเก็ต
แต่ชาวคุนหมิงจำนวนมากกลับเลือกที่จะซื้อจากคาร์ฟู

หรือว่านี่คือ รูปแบบชีวิตของคนเมืองใหญ่
ก็ไม่รู้เหมือนกัน

สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา
ก็เลือกซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตเช่นกัน
ไม่แน่ใจว่าด้วยความเคยชิน
หรือว่าเพราะไม่อยากต่อราคาด้านนอก

มีอย่างหนึ่งที่เรารู้สึกได้คือ
ทุกครั้งที่เห็นป้ายราคา
มันทำให้รู้สึกสบายใจว่า
เราซื้อสิ้นค้าในราคาที่เท่ากัน
ไม่แยกแยะนักท่องเที่ยว หรือคนพื้นที่
ประมาณว่าจ่ายแพงกว่าก็ยอม
ดีกว่าไปลุ้นว่าจะถูกเหมือนคนธรรมดา
หรือจ่ายราคาแพงสุดๆในฐานะนักท่องเที่ยว

นิสัยระแวงแบบนี้ ก็คงเป็นนิสัยคนเมืองอย่างนึง แน่ๆ








Wednesday, April 25, 2007

ตลาด






ชีวิตของแต่ละเมือง
มักจะเริ่มที่ตลาด
ลี่เจียงก็เช่นกัน

ตลาดลี่เจี่ยงในวันที่มีแดด
มียอดเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลัง

ที่ตลาด
เราอาจได้เจอชาวลี่เจี่ยงทุกคน
ที่เราเพิ่งรู้จักในเมืองนี้

การถ่ายภาพผู้คน
ยังเป็นปัญหาสร้างความลำบากใจเสมอ

ใจหนึ่งก็เกรงใจคนที่จะปรากฏในภาพ
ด้วยความที่ไม่รู้จะขออนุญาติยังไง
เพราะพูดกันคนละภาษา
แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า
ตลาดที่ไร้ผู้คนมันก็คงจะไม่ใช่ตลาด

ภาพที่ออกมาส่วนใหญ่จึงมีแต่ขาดๆเกินๆ
ผู้คนก็เบลอๆ เพราะคนถ่ายยังกล้าๆกลัวๆ










ห่วง

๒๑ เมษายน ๑๕.๓๐ น

ฉันยืนอยู่ที่หน้าสนามบินในจังหวัดบ้านเกิด
ผู้โดยสารคนอื่นๆทยอยกันออกไปจนหมด
จนสนามบินอยู่ในสภาพราวกับสนามบินปิด
เงียบจนกระทั่งเสียงใบไม้แห้งที่ถูกลมพัด
เป็นเสียงที่อึกทึกที่สุดในขณะนั้น

นี่คงเป็นผลพวง
ของเหตุการณ์ความไม่สงบ
ในสองสามปีหลังมานี้

หากเป็นไปตามที่วางแผนกับเพื่อนๆ
ณ เวลานี้ ฉันควรจะเดินเล่นอยู่ริมฝั่งโขง
แถวๆ อำเภอเชียงคาน
แต่บางเรื่อง มันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

รถของพี่ชายวิ่งตรงมาที่ฉันยืนอยู่
หลานๆ นั่งอยู่ในรถ
เราทั้งหมดตรงไปโรงพยาบาลทันที
เพราะนี่คือ เป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้

ที่โรงพยาบาล
พวกเราพี่น้องทั้งหกพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
โดยปกติแล้วพวกเราจะเจอหน้าพร้อมเพรียงกัน
ปีละครั้งสองครั้ง ในเทศกาลวันตรุษเล็กและตรุษใหญ่
ยกเว้นเหตุการณ์ไม่ปกติแบบนี้ ในวันที่แม่ป่วย

โดยความที่อายุในแต่คนห่างกัน
วันที่คนหนึ่งกำลังโต อีกคนก็ออกจากบ้านไปเรียน
พวกเราพี่น้องจึงหาโอกาสพร้อมหน้าพร้อมตากันน้อย
และจังหวะชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา
ด้วยเหตุกระมังที่น้อยครั้งนักที่พวกเราทั้งหกคน
จะมีความเห็น หรือแนวทางในเรื่องต่างๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ
ด้วยความเป็นพี่น้องนี่แหละ
มันจึงเหมือนมีใยบางๆ ดึงพวกเราใว้ไม่ให้ขาดจากกัน
ฉันเคยคิดว่าใยเหล่านั้นคือพ่อแก่และบ้านเกิด

วันนี้ ฉันและพี่สาวคนรอง รับหน้าที่เฝ้าแม่
ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเล็ก
ฉันยังคงหยอกล้อและกระเซ้าแม่ไปตามประสา
อย่างน้อยแม่ก็ยิ้มและหัวเราะได้บ้าง
ฉันรับหน้าที่นี้มาตลอดตั้งแต่จำความได้

ฉันเคยสังเกตุและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อ
ว่าทำไมวิธีการพูดจาและวิธีแสดงความห่วงใยของพ่อแม่
ที่มีต่อลูกๆแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน
พ่อบอกว่าวันหนึ่งฉันจะเข้าใจหากฉันมีลูก
เพราะลูกๆแต่ละคนบุคลิกไม่เหมือนกัน
วิธีการดูแลจึงไม่เหมือนกัน บางครั้งจึงดูราวกับว่า
พ่อแม่จะรักลูกคนโน้นมากโอ๋ลูกคนนั้นจัง
ในสายตาของลูกๆ แต่พ่อแม่ก็ยังยืนยันว่า
รักและห่วงเหมือนๆกัน แต่แสดงออกไม่เหมือนกัน

ฉันยังไม่เชื่อพ่อนักหรอก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะค้าน
เพราะฉันได้รับสิทธิพิเศษในฐานะลูกคนสุดท้องเสมอ

พี่ๆ จึงชอบพูดกันว่า
แม่จะมีกำลังใจดีมาก
หากฉันเป็นคนเฝ้าไข้
ฉันมักยอมรับและถือว่า
นี่คือสิทธิพิเศษของฉัน

และคืนแรกก็ผ่านไป
โดยที่ฉันเป็นคนเดียวที่ตื่นอยู่ใน ward นั้น
แม้กระทั่งพยาบาลเกือบสิบกว่าคนยังแอบงีบหลับ




๒๒ เมษายน ๙.๐๐ น


บรรดาหมอเริ่มตรวจคนไข้
ฉันถามหมอว่าแม่อาการดีขึ้นพอ
ที่จะย้ายไปอยู่ห้องพิเศษได้หรือยัง
หมอบอกว่า อยากให้อยู่ห้องนี้
พยาบาลจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด

ฉันถามหมอกลับไปว่า
ดูแลอย่างใกล้ชิดแปลว่าอะไร
ถ้าหมายความว่าการเดินมาวัดอุณหภูมิและความดัน
ในทุกๆชั่วโมง แปลว่าดูแลใกล้ชิด
ฉันก็เชื่อว่าการอยู่ห้องพิเศษก็ทำแบบนี้ได้
หมอบอกว่าอย่าเพิ่งใจร้อน
แล้วก็เดินจากไป

แล้วพี่ชายอีกคนก็มาถึงในเวลาเที่ยง
พี่ๆอยากให้ฉันกลับไปนอนพักก่อน
เย็นๆค่อยกลับมาใหม่
โดยเปลี่ยนเป็นพี่สาวคนโตมาเฝ้าแม่แทน

หลังจากได้พักผ่อน
ฉันกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็น
พี่สาวคนโตเล่าถึงเรื่องพฤกติกรรมต่างๆของพยาบาลให้ฟัง
(เรื่องนี้ฉันจะข้ามไป เพราะได้ต่อว่าเพื่อนที่เป็นอาจารย์พยาบาลไปแล้ว)

ในช่วงที่หมอมาตรวจคนไข้
มีหมอสามคน เหมือนกับเพิ่งเรียนจบ
มายืนถกเถียงกันว่าจะรักษาอาการแม่ของฉันยังไง
ทุกคำพูดที่พูดกันออกมาแสดงถึงความไม่แน่ใจ
ฉันอยากเดินเข้าไปถามว่า ถ้าจำไม่ได้กลับไปอ่านหนังสือก่อนก็ได้
หรือถ้าในหนังสือไม่มี ก็กลับไปเรียนใหม่
แม่ฉันไม่ใช่หนูทดลอง ที่จะมานั่งคาดการณ์
กรุณาอดอีโก้ และโทรไปถามหมอประจำของแม่
ที่ตอนนี้เดินทางไป กทม ก็ได้

แต่พี่ๆ ก็ห้ามใว้

ฉันบอกพี่ๆว่า
ฉันเข้าใจว่าทุกคนเรียนมามันก็ต้องมีการลืม
การไม่เข้าใจ หรือ การไม่รู้อยู่ในนั้น
ใช่ว่าสอบผ่านจะรู้หมด
แต่อาชีพหมอเป็นอาชีพที่ต้องการการผิดพลาดน้อยมากๆ
เพราะมันหมายถึงชีวิตคน
ทุกคนจะต้องตั้งใจและระลึกใว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ไม่ได้มีใครบังคับให้เรียน
แถมค่าตอบแทนที่ได้รับก็ถือว่าสูง
สังคมให้ราคาตอบแทนที่สูง
ก็ต้องมีความรับผิดชอบที่สูงตามไปด้วย

แล้ววันนี้ทุกคนก็บอกว่าให้ฉันกลับไปนอนบ้าน
หลักๆคือไม่อยากให้ฉันเจอกับหมอ
เพราะฉันมักมีคำถามที่อาจจะทำให้เทวดาเหล่านั้น
เกิดความขุ่นข้องหมองใจได้



๒๓ เมษายน ๑๑.๐๐ น

พวกเราออกจากบ้าน
เพื่อไปเปลี่ยนเวรพี่ๆที่เฝ้าแม่
ฉันแบกกระเป๋าใบเดิม
เพราะจะเลยไปสนามบินในตอนเย็น
ไม่ต้องการแวะกลับมาที่บ้านอีกให้เสียเวลา

วันนี้หมอเฉพาะทางด้านไตมาดูแลแม่
บรรดาสายน้ำเกลือและยาต่างๆก็ถอดออกหมด
อาการแม่กำลังดีขึ้นตามลำดับ
พวกเราคาดหวังกันว่าจะได้ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษ

มุมหนึ่งอาจจะมองว่าเรื่องมาก
แต่พวกเราก็อยากให้แม่มีกำลังใจที่ดี
เพราะสภาพแวดล้อมของward ที่พักอยู่
มันน่าหดหู่ บันทอนกำลังใจ และสูดพลังจากชีวิต
จากทั้งคนป่วยและคนเฝ้าไข้มากเกินไป

อย่างน้อยห้องพิเศษก็มีความเป็นส่วนตัว
และไม่ต้องทนเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้

ทุกๆครั้งที่มีใครป่วยทุกคนมักพูดเสมอว่า
"ทำไมไม่เรียนหมอ"
ฉันมักตอบไปว่า มันเปลี่ยนไม่ทันแล้วแหละ
หรือไม่ก็บอกว่า ฉันไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นหมอ

หลังๆมานี้
คำตอบของฉัน มักจะแผ่วเบาลงเรือยๆ
ฉันไม่อยากรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว

เที่ยวบินขากลับของฉัน
เป็นเที่ยวดึกสุด ผู้คนบางตา
ไม่ต้องแย่งที่นั่ง

ระหว่างที่เดินทางกลับ
มันทำให้ฉันมีเวลานิ่งๆ
และคิดทบทวนในหลายๆเรื่อง

โลกเป็นอย่างที่มันเป็น
เพราะมีสาเหตุความเป็นมา
อยากเปลี่ยนมันไปในทางที่ดี
อยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่เป็นไร
แต่จะต้องรู้ว่ามันมีกฏกติกาของจักรวาล
ที่ไม่ได้เปลี่ยนตามใจเรานึก
เราทำเท่าที่ดีที่สุดก็พอแล้ว

Thursday, April 19, 2007

สวนสาธารณะ - สระมังกรดำ




วันแรกที่พวกเราไปถึงเมืองลี่เจียง
ตั้งใจกันใว้ว่า
จะแวะไปถ่ายรูปที่สวนสาธารณะแห่งนี้

แต่วันนั้นฝนตก
และเวลาก็ใกล้จะค่ำมืด
ทุกคนเลยยกเลิกความตั้งใจ
ที่หน้าประตูทางเข้า
ได้แต่เดินเลาะรั้วเล่นๆ

ความรู้สึกตอนนั้นคือ
พวกเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสนี้เป็นครั้งที่สอง
เพราะลักษณะของการเดินทางแบบพวกเรา
น้อยครั้งนักที่จะได้ย้อนกลับไปที่เดิม

หลายสถานที่ หลายเหตุการณ์
ผ่านแล้วผ่านเลย
อาจจะรู้สึกเสียดาย ได้แต่ทำใจ

ท้ายที่สุดแผนการณ์เดินทางของเรา
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ก็ทำให้เราวนกลับมาพักที่เมืองนี้อีกครั้ง

แล้วโอกาสที่ได้แวะสวนสาธารณะแห่งนี้ก็มาถึง
ในวันที่ภูเขาหิมะมังกรหยก ปรากฏเป็นฉากหลัง
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แดดรำไร
พวกเราเชื่อกันว่า
น่าจะเป็นจังหวะและโอกาสที่เหมาะที่สุดแล้ว





Wednesday, April 18, 2007

เต้นรำ









วันแรกที่มีแดดในเมืองลี่เจียง
ชาวนาซีออกมาเต้นรำกลางลานเมือง
นักท่องเก็บภาพเป็นที่ระลึก

ฉันได้แต่ปรารถนาว่า
ทุกฝ่ายกำลังมีความสุข
ไม่มีใครฝืนใจทำ เพื่อใคร
หรือ เพื่ออะไร


สำหรับฉัน
ภาพที่ประทับใจมากกว่า
คือผู้คนที่นั่งทอดหุย
มองดูผู้คนผ่านไปผ่านมา

ทุกครั้งที่ฉันเห็นภาพแบบนี้
มักจะถามตัวเองเสมอว่า
ฉันกำลังจะแก่เฒ่าไปแบบไหน




Tuesday, April 17, 2007

มุ่งสู่ความขาวของหิมะ


















17 เมษายน

ยังเป็นวันหยุดต่อเนื่องของเทศกาลสงกรานต์
หลังจากนอนจนเหนื่อย
นั่งดูรูปที่เหลือติดเมมโมรี่มาเล็กน้อย
เนื่องจากรูปส่วนใหญ่ถูกโหลดใส่คอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมทริป

11 วันของการท่องเที่ยว
แต่ละคนถ่ายรูปเยอะมาก
บางครั้งอดสงสัยไม่ได้ว่า
เราจะมีโอกาสนั่งดูรูปที่ถ่ายออกมาทุกรูปไหม

แต่อย่างไรก็ตาม
แต่ละคนคงอยากเก็บช่วงเวลานั้นใว้ให้ยาวๆ

หิมะสวยงามในสายตาของผู้ผ่านทาง
นักท่องเที่ยวจากเขตเมืองร้อน
อย่างพวกเรา

แต่แสงแดด
คงเป็นที่ต้องการสำหรับการเพราะปลูกมากกว่า
สำหรับคนที่ต้องเจอกับหิมะเกือบทั้งปี

สัจธรรมของโลกมันก็เป็นเช่นนี้แล

หากจะพูดให้ร้ายๆ เราอาจจะบอกว่า
เราไม่เคยพอใจง่ายๆกับสิ่งที่เรามี

แต่หากจะพูดให้กลมกล่อมคือ
ออกไปมองคนอื่น เพื่อจะได้เห็นตัวเอง

จะอย่างไรก็ตาม ความรู้ใหม่คือ
หิมะนอกจากจะเย็น และขาวแล้ว
ยังสะท้อนแสงจนแสบตาเหมือนกันนะ

ก็บางอย่างต้องเจอเอง ถึงจะรู้ซึ้ง
ประสบการณ์เล็กน้อยบางอย่าง สอนกันไม่ได้
และนี่คือเหตุผลหนึ่ง (เหตุผลส่วนน้อยมาก)
ของการท่องเที่ยว หุหุหุ

Monday, April 16, 2007

หนีร้อน ไปพึ่งเย็น




Day 1 - Kunming นอนบนรถไฟ
Day 2 - เที่ยว Dali นอน Dali
Day 3 - นั่งรถไป lijiang เดินเล่น นอน lijiang
Day 4 - Jade Dragon Snow Mountain นอน lijiang
Day 5 - เดินทางไป Shangrila นอน Shangrila
Day 6 - เดินทางไป Meili Snow Mountain นอน Meili
Day 7 - เที่ยว Meili Snow Mountain กลับมานอน Zongdian
Day 8 - เดินทางกลับมานอน Lijiang
Day 9 - ชิลล์ๆ ที่ lijiang นอนบนรถนอน
Day 10 - ถึง Kunming เที่ยว Golden Temple นอน Kunming
Day 11 - Shoping กลับ กทม


แล้วรายละเอียด พร้อมรูปจะตามมา