Wednesday, October 31, 2007

ส ะ ส า ง

ทุกคนต้องการเวลา
เก็บกวาดขยะ
ทั้งภายนอกและภายใน

จากภาระกิจประจำวัน
เราหยุ่งเหยิง
จนขยะรอบกาย
และขยะภายในจิตใจ
สะสม

จนกระทั่งหนังสือที่ให้ความรู้
ก็รวมกันกับเศษเล็กเศษน้อย
ดูไม่ต่างจากกองขยะที่เกลื้อนกลาดไปทั่วห้อง

แค่การพูดจากหยอกล้อ
ฉันท์คนคุ้ยเคย
ก็ทำให้เราโกรธเป็นฝืนเป็นไฟได้
และอยากโต้ตอบ
เพื่อความสาสมในจิตใจ

หาเวลาสักนิด
อยู่เงียบๆ
เก็บทิ้งขยะภายนอก
และพยายามเก็บกวาดขยะภายใน

โลกรอบตัวจะสะอาดขึ้น
โลกภายในจะสดใสเหมือนเดิม

นี่คือทั้งหมดของหนึ่งเดือนตุลาคม
ที่กำลังจะผ่านพ้นไป

เดือนที่ผมกำลังรู้สึกว่า
กระแสของกิจวัตรประจำวัน
กำลังเข้ามาสั่นคลอน
ความมั่นคงทางด้านอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ

อุปมาเหมือน เราเคยมั่นใจว่า
เรายืนอยู่อย่างมั่นคง บนที่มั่นที่เราเลือก
แล้ววันหนึ่งก็มีมือที่มองไม่เห็น
มาจับเราให้ยกลอย
แค่โดยลมพัดแรงหน่อย เราก็โอนเอน
โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่า เท้าเรามันกำลังลอยจากพื้น
กลับไปโทษว่าเป็นความผิดของลมที่พัดแรง
ทั้งๆที่ระดับแรงลมระดับนี้
เป็นความรู้สึกสบายที่เราเคยชื่นชอบ

เราจำเป็นต้องก้มมองเท้าเราบ้าง
เพื่อที่จะตรวจสอบว่า
เรายังยืนมั่นคง อยู่ที่มั่นเราหรือเปล่า

และเช่นเดียวกัน

เราต้องให้เวลากับตัวเอง
เพื่อเก็บกวาดตะกอนขุ่นในจิตใจ
ทิ้งขยะที่รกรอบๆตัว

อย่างน้อย
โลกใบเล็กๆที่สวยงามของเรา
ก็ทำให้โลกใบใหญ่ๆนี้สวยงามเช่นกัน

ปล

1 อยากเขียนยาวๆ แต่ขี้เกียจอ่าน

2 คงมีหนังสือมาขายในงานสัปดาห์หนังสือเป็นล้านเล่ม
แต่กระผม เลือกที่อยากอ่านจริงๆ ไม่ได้เลย
ทำไม

3 เป็นไปได้ไหม ที่เราจะคิดและมองเห็นแต่ด้านดีๆของทุกเรื่อง
แล้วการพูดถึงแต่ด้านดีๆ เพียงอย่างเดียว เป็นการโกหกชนิดหนึ่งหรือเปล่า
แล้ว การเตือนภัย ล่วงหน้าคือ คนมองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่า

Friday, October 05, 2007

แต่ละวัน ยาวนาน และผ่านไปยังรวดเร็ว

เวลาเดินเร็ว

ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกแบบนี้
ทั้งๆที่เวลาก็เดินไปตามปกติ

แต่ละวันเหมือนจะยาวนานขึ้น

ข้าพเจ้าจะพยายามตื่นเช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
รีบเดินทางไปถึงที่ทำงาน
ซึ่งอยู่กลางเมือง

นั่งทำงานโน้นงานนี้
ประชุมร่วมกับคนโน้นคนนี้

ทำงานโดยไม่มีการพัก
เพราะอยู่ในช่วงการถือศีล
ไม่จำเป็นต้องให้เวลา
กับการทานมื้อเที่ยง

บ่ายโมง
เดินทางไปที่สำนักงานสนาม
ใช้เวลาบนทางด่วนคิดโน้นคิดนี่
จนแท็กซี่พาไปถึงจุดหมาย

นั่งประจำการที่โต๊ะ
ทำงานโน้นงานนั้น
โดยไม่ต้องเจรจาเรื่องงานกับใคร
ต่างคนต่างทำงานของตัวเองเงียบๆ

จนกระทั่งห้าโมงเย็น
เดินออกจากสำนักงานสนาม
มุ่งตรงสู่โรงฝิ่น
ระยะทางการเดินประมาณหนึ่งร้อยเมตร

พูดคุยสะสางงานกับเจ้าของโรงฝิ่นเล็กน้อย
จนกระทั่งใกล้เวลาหกโมง
เดินทางไปรับประทานอาหาร

หลังการรับประทานอาหารก็กลับมาทำงาน
ทำงานโน้นงานนั้น
จนกระทั่งสี่ทุ่ม
ก็แยกย้ายกันกลับ

ข้าพเจ้าเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงฝิ่น
ย้อนกลับเส้นทางเข้าเมือง

ประมาณห้าทุ่มหลังอาบน้ำ
ก็เริ่มทำงานต่อ
แล้วทางเลือกสองอย่างคือ
ถ้ายังไหวก็ทำงานต่อจนกระทั่งประมาณตีสาม
จึงทำการทานอาหารแล้วนอน

หรือหากไม่ไหวก็นอนก่อน
ประมาณตีสามครึ่งค่อยตื่นขึ้นมาทานอาหาร
แล้วทำงานต่ออีกนิดหน่อย
พอท้องไส้เริ่มเข้าที่เข้าทางก็นอนต่ออีกเล็กน้อย

แล้วก็กลับเข้าสู่เส้นทางเดิม

แม้จะดูเหมือนให้เวลากับการทำงานต่างๆเยอะแยะ
ก็ยังทำงานไม่ทัน

ด้วยงานที่เยอะตามกล่าว
ทำให้ต้องมีสมาธิจดจ่อ
เวลาจึงเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แต่ด้วยกลางวันทำงานที่ยาวนาน
จนบางครั้งเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ข้าพเจ้ากลับรู้สึกราวกับว่า
มันเกิดขึ้นมาเมื่อสามวันก่อน

หากมีโอกาส

การนั่งนิ่งๆ
หายใจเข้าและหายใจออก
เฉยๆ

คือ ความสุขที่กำลังคาดหวังให้เกิดขึ้น

และดูเหมือนว่า
ความสุขเล็กๆของข้าพเจ้า
ลดลงเหลือเพียงเท่านี้แหละ