วันศุกร์
ตอนเย็น
แวะไปงานมีทตี้งชาวสะพายเป้ท่องโลก
สมาชิกที่ไปร่วมประมาณสักสามสิบคน
คนส่วนใหญ่ไม่เคยเจอหน้าค่าตา
แต่ก็มักจะคุ้นชื่อ จากเรื่องเล่าและภาพถ่าย
ที่แต่ละคนได้นำเสนอผ่านกระทู้ท่องเที่ยว
พี่คนหนึ่งเอารูปที่เพิ่งกลับมาจากรัสเซียมาให้ดู
เธอไปคนเดียว เหมือนเดิม
อีกคนก็เพิ่งกลับมาจากดูแสงเหนือ
ไม่ได้พกรูปถ่ายมาด้วย
แต่เรื่องเล่าของเธอก็ให้ภาพที่ชัดเจน
อีกคนหนึ่ง เพิ่งกลับมาจากนิวซีแลนด์
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่เขาคนนี้ไปดินแดนนี้
รูปที่ถ่ายมาให้เพื่อนๆดู
จึงมีลักษณะเจาะจงมากกว่าภาพวิว ทิวทัศน์
อีกกลุ่มหนึ่งกำลังดูรูปเส้นทางระหว่างเมืองชิมลา
ไปสู่แคว้นแคชเมียร์
พร้อมทั้งมีการสอบถามข้อมูลจากเจ้าของภาพ
เพราะมีคนกำลังจะเดินตามรอยเส้นทางนี้
ส่วนที่เหลือก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์
จากที่แต่ละคนได้พบ ได้เห็นจากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก
หลายคนไปมาแล้วเกือบทั่วมุมโลกจริงๆ
แต่บางคนก็รักมุมเดิม จึงเลือกไปซ้ำๆ แนวเดิม
ผมไม่แน่ใจว่า มนุษย์เผ่าพันธุ์สะพายเป้ เป็นแบบไหน
ลักษณะเด่นลักษณะด้อยเป็นอย่างไร
รู้เพียงแต่ว่า ในวันนั้น เราแบ่งปันกันเฉพาะความสุข
ความสุขที่เกิดจากการท่องเที่ยว
ลักษณะและความรู้สึกของการพูดคุย
เหมือนตอนที่เราเจอเพื่อนใหม่ ในขณะที่เราเดินทางท่องเที่ยว
เราจึงไม่นำพาเรื่องทุกข์ หรือปัญหาส่วนตัวติดตัวมากด้วย
ขนาดว่าคนหนึ่งรักท่านเหลี่ยมมากๆ
เพราะเป็นผู้บริหารใหญ่ที่เอไอเอส
แต่อีกคนเกลียดท่าเหลี่ยมมากๆ
เราก็ยังคุยกันได้สนุกสนาน
เพราะเราไม่คุยเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องเที่ยว
เราทิ้งปัญหาและที่มาของแต่ละคนใว้ที่อื่น
ระหว่างที่นั่งฟังเรื่องโน้น เรื่องนี้ จากคนโน้น คนนี้
ผมกลับรู้สึกว่า ผมได้คำตอบบางอย่าง ที่ผมกำลังสงสัย
แม้คำตอบมันจะไม่ได้ชัดเจนมากนัก
แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า มันควรจะเป็นอย่างไร
วันเสาร์
นั่งเคลียร์งานจนเกือบเย็น
แล้วก็แวะไปซื้อของเพื่อเตรียมตัวเดินทาง
เสร็จแล้วก็เลยไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
ปีนี้ไม่ได้มีความตั้งใจหาหนังสืออะไรเป็นพิเศษ
แค่เพียงอยากได้สมุดบันทึกเล่มใหม่
เอาใว้ขีดๆ เขียนๆ จดอะไรกันลืม ระวังเดินทาง
ระหว่างที่ยืนดูหนังสือท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สำนักพิมพ์วงกลม
คุณคมสัน นันท ก็เดินเข้ามา และทักทายคนขาย
เพิ่งรู้ว่า คนที่กำลังนั่งขายคือ พี่นวล
พี่คนที่ได้ยินชื่อบ่อยมาก แต่นึกไม่ออกซะทีว่าหน้าตาเป็นยังไง
ทีนี้ก็จะได้จำได้ซะทีว่า พี่นวล หน้าตาแบบนี้นี่เอง
ขณะคุณคมสัน กำลังเดินออกไป
จู่ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนเลือกหนังสืออยู่เช่นกัน
เธอคนนี้ได้พูดประโยคบางอย่างกับพี่นวล
ความรู้สึกแรกคือ ทำไมผู้หญิงคนนี้เสียงเหมือนพี่แจ๋วจัง
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นด้านข้าง ก็ยังไม่คลายความสงสัย
หรือว่า เป็นญาติกับพี่แจ๋ว แต่ก็ไม่เคยเจอคนนี้ที่ร้านนี่นา
ระหว่างนึกไปนึกมา พี่คนนั้นก็หันมา
แล้วก็ผิดคาด เพราะเธอคือ พี่แจ๋วจริงๆ นั้นแหละ
ก็เลยได้ทักทายสวัสดี แบบสวัสดีดีใจ
ท่าทางพี่แจ๋วก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอ
หลังจากนั้นก็เดินคุยกับพี่แจ๋ว
แล้วก็เดินดูหนังสือไปด้วยกัน
จนไปถึงมติชน เพราะหนังสือเล่มใหม่ของพี่แจ๋วเพิ่งมาถึง
พี่แจ๋วอยากเจอน้องๆ คนอื่นๆ
โดยเฉพาะฝน โดยอยากเจอฝนแบบไม่มีเซอร์ไพร้ไปด้วย
แล้วพี่แจ๋วก็บอกว่าพรุ่งนี้นัดคนอื่นๆใว้
ถ้าว่างก็แวะมาเจอกันหน่อย
ระหว่างที่อยู่บูทมติชน ก็เจออาจารย์เทพ
จึงเอาหนังสือ บึงหญ้าป่าใหญ่ไปให้เซ็นต์
โดยบอกอาจารย์ว่า ผมเคยไปนอนที่บ้านอาจารย์ที่เชียงใหม่
แต่คาดว่าอาจารย์คงจำไม่ได้แน่ๆ ไม่เป็นไร
ออกจากงานก็เลยไปคลองถม
เพราะต้องการซื้อไฟฉาย เพื่อเดินเทรคกิ้ง
กว่าจะถึงที่พัก ก็เกือบเที่ยงคืน
กลับมาถึงก็ยังไม่นอน
รีบอ่านหนังสือเล่มใหม่ของพี่เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย
แปลกแต่จริงก็คือ
แม้จะอ่านหนังสือพี่เพลงดาบ
แต่ข้างในกลับเหมือยกับว่า
กำลังสะสางความรู้สึก และความสับสนบางอย่าง
ที่ติดๆ คาๆ มาในช่วงอาทิตย์นี้ให้ออกไป
กว่าจะหลับก็อ่านจนเกือบหมดเล่ม
จำความรู้สึกก่อนนอนได้
มันเป็นความรู้สึกทั้งดีใจ และ รู้สึกดี
พี่ๆ กลุ่มนี้เป็นมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง
ที่ทำให้ผมรู้สึกดีๆ ได้เสมอ
แม้ว่านานๆ จะเจอะเจอกันที
หรือการเจอะเจอก็อ่านจะเจอะเจอผ่านตัวหนังสือ
แต่มันก็รู้สึกดีว่า ยังมีคนรู้สึกแบบนี้อยู่ในโลก
วันอาทิตย์
ตื่นมาสายๆ
ทานข้าว
แล้วก็อ่านหนังสือของพี่เพลงดาบต่อจนหมดเล่ม
เข้าเนตหาข้อมูลท่องเที่ยวนิดหน่อย
แล้วก็ออกไปพันทิพย์ เพราะเพื่อนชวนไปซื้อโน้ตบุ๊ค
เดินถามร้านโน้น ร้านนี้
จากไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
จนสามารถหาซื้อได้แบบที่อยากได้
เสร็จแล้วก็แวะไปบ้านเพื่อนอีกคน
มันทำอาหารเตรียมใว้แล้ว
ทานข้าวเสร็จก็แวะไปดูบ้านที่เจ้าของกำลังประกาศขาย
กว่าจะเสร็จก็เกิอบสองทุ่ม
ระหว่างที่นั่งรถเพื่อน เพื่อจะไปศูนย์ประชุม
เพื่อนมันก็เล่าให้ฟังถึงปัญหาของมัน
ฟังดูแล้วยังหนักใจแทน
โดยส่วนใหญ่เพื่อนๆในกลุ่มรู้สึกว่า
เพื่อนคนนี้แหละ ที่ดูไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
มันบอกว่า มันนะมองว่า คนอย่างผมเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว
ผมก็เลยเล่าให้มันฟังว่า
ผมก็เหมือนมันนั่นแหละ ที่ถูกคนมองว่าดี
ทั้งๆจริงๆ ชีวิตลุ่มๆดอนๆ เต็มไปด้วยปัญหา
แปลกอย่างหนึ่งคือ เรารู้จักและสนิทกันมากว่าสิบปี
แต่เรากลับไม่ค่อยได้รู้จักความนึกคิดของแต่ละคนกันเลย
หรือว่าที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า
เราเป็นมนุษย์คนละเผ่าพันธุ์
ผมถูกมองว่าเป็นพวกสุขนิยม
สายลมแสงแดดอย่างสุดขั้ว
รถไม่ผ่อน บ้านไม่ซื้อ อยู่เป็นโสด
ท่องเที่ยวทุกครั้งที่มีโอกาส
มีความสุขกับการทำอะไรใหม่
ไม่มีภาระอะไรให้ต้องลำบากใจ
ส่วนผมก็มองว่า
เพื่อนกลุ่มนี้เป็นพวกวัตถุนิยม
พยายามซื้อบ้านหลังโตๆ
ซื้อรถคันใหญ่ๆ แต่งงาน มีลูก
พยายามให้ลูกเรียนโรงเรียนแพง
พยายามสะสมทรัพย์ทุกวิถีทาง
ความสุขของคนเหล่านี้อยู่ตรงไหน
แล้ว เขามีชีวิตอันแห้งแล้งไปเพื่ออะไร
ถึงวันนี้
ผมตระหนักได้ว่า
เราทุกคนเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งนั้น
เพียงแต่ เราไม่ได้พยายามเปิดหัวใจ เพื่อพูดกัน
เราจึงตัดสินกันแบบคิดไปเอง จากสิ่งที่เรารับรู้
เราทุกคน มีความกลัว
เราทุกคน มีความรัก
เราทุกคน ต้องการความสุข
และ
เราทุกคนก็
ต้องเผชิญความทุกข์
เหมือนๆกัน
ปล ....
5-17 ไปเนปาล
หยุดเขียนบลอค