Friday, April 28, 2006

ต อ น เ ย็ น





วันจันทร์

ไปทานข้าวกับเพื่อน
เป็นเพื่อนกลุ่มที่เคยไปเที่ยวนครวัดด้วยกัน
ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ตั้งแต่เที่ยวเสร็จ
ได้ยินแต่ข่าวคราวว่า คนนั้นไปเที่ยวที่โน้น
คนโน้นไปเที่ยวที่นี้





วันอังคาร

ไปออกกำลังกาย
ไม่อยากเรียกว่าการออกกำลังกายสักเท่าไหร่
เพราะเหมือนแค่ไปขยับตัวพอให้เหงื่อออก
ยังหาแรงบันดาลใจใหม่ไม่ได้
จึงเริ่มวางแผน Mi-II : Everate Base Camp




วันพุธ

ไปทานข้าว
สมาชิกคือ คนสนิทของเซอร์ไพรส์
สาวแบงค์ที่ขับรถเหยีบเท้าเด็กปั้ม ข้าพเจ้า และ พี่แจ๋ว
นั่งโม้กันจนดึกจนดื่น กว่าจะได้นอนก็ตีสอง
ถือเป็นวันที่นอนดึดที่สุดในรอบเดือนนี้

เรื่องหนึ่งที่ติดใจคือ นักเขียนแบบพี่แจ๋วกับการเล่นหุ้น
ดูไม่ค่อยเข้ากันยังไงไม่รู้




วันพฤหัส

อาการง่วงนอนยังอยู่
แรงบันดาลใจของการออกกำลังกายยังไม่เกิด
ก็เลยกลับไปนอน ตั้งใจใว้
แต่ความจริงกลับไปก็นั่งดูรูป
แล้วก็รู้สึกว่า ชอบรูปที่ตัวเองถ่าย
ทั้งๆที่สมาชิกที่ไปด้วยกัน แต่ละคน ถ่ายรูปเก่ง
รูปที่เขาถ่ายออกมาก็สวยๆ แต่ข้าพเจ้ากลับชอบรูปที่ข้าพเจ้าถ่าย
โดยเฉพาะภาพเดี่ยวของเพื่อนๆ ที่ข้าพเจ้าถ่ายใว้
อาจเป็นเพราะว่ารูปที่เราถ่าย คือรูปที่เราอยากเห็น
วิธีการมองภาพของเราเป็นแบบนี้ ภาพที่เราชอบมันจึงน่าจะเป็นแบบนี้
เคยนั่งคิดเล่นๆว่า ถ้าเราถายรูปด้วยเทคนิคที่เก่งกว่านี้
รูปที่ออกมาจะน่าพึงพอใจมากกว่านี้หรือเปล่า
ประกอบกับว่า เมื่อการถ่ายรูปด้วยสัญชาติญาณเดินมาจนสุดทาง
เราก็ต้องทำการพัฒนาเทคนิค หาความรู้ เผื่อว่าฝีมือจะดีขึ้น
รูปที่ออกมาจะได้ดั่งใจเรามากขึ้น อาจจะไม่ได้สวยแบบคนอื่น
แต่สวยในแบบที่เราอยากเห็น ว่าแล้วก็เลยไปหาหนังสือมาอ่าน
วิธีการวัดแสง ความกว้างของรูรับแสงคืออะไร
ความเร็วชัตเตอร์คืออะไร พร้อมทั้งอ่านคู่มือ
เจ้ากล้องโบราณที่ซื้อมาสามปี เสียและซ่อมไปแล้ว
[เพิ่งได้อ่านคู่มือ ตลกดีไม๊ละ]
อ่านไปอ่านมาก็เลยนอนดึกอีกวัน




วันศุกร์


จะนั่งรถทัวร์ไปกระบี่
จะไปทดลองฝีมือการถ่ายรูป
แล้วค่อยมาดูกันว่ามันพัฒนาไปถึงไหน
ขึ้นภู สู่ยอดดอย หรือออกทะเล 555

Tuesday, April 25, 2006

ฮ ว ง จุ้ ย

วันอาทิตย์

เพื่อนมารับแต่เช้า (จริงๆก็ไม่เช้ามาก แปดโมงนะ)
นั่งรถเพื่อนไปรับซินแส เพื่อไปดูบ้าน

แม้ข้าพเจ้าไม่ใช่ซินแส
แต่มักได้รับเกิยรติไปช่วยดูบ้านเสมอๆ

เพื่อนคนนี้กำลังจะซื้อบ้าน
เงื่อนไขในการเลือกบ้านของมันก็ไม่ได้มากมายอะไร
แค่ราคาพอจ่ายได้ ทำเลพอรับได้ ก็โอเคแล้ว

แต่ เงื่อนไขของคนรอบๆข้างนะสิ


เงื่อนไขของว่าที่ภรรยา บอกว่า

บ้านจะต้องอยู่ในเขตที่เดินทางสะดวก
รถเมลล์ผ่านง่ายๆ ว่างั้นเถอะ
เพราะเธอไม่อยากใช้รถ
ทำเลต้องไม่ไกลจากบ้านเดิมมากนัก
ไม่ห่างจากที่ทำงานมากเกินไป


เงื่อนไขของแม่ว่าที่ภรรยา

ก็แค่ขอบ้านที่อยู่ใกล้ๆบ้านเดิม
ประมาณเดินถึง รั้วติดกันยิ่งดี
แต่บ้านเดิมอยู่กลางเมือง
ติดถนน และเป็นห้องแถว

แค่สองเงื่อนไขของสองคนข้างบน
ก็เป็นโจทย์ที่ยากพอสมควร

ต่อมาก็เป็นเงื่อนไขของที่ครอบครัวมันเอง

ทางครอบครัวไม่อยากให้มันเป็นหนี้
จึงอยากให้ซื้อเงินสด โดยทางบ้านจะออกให้ก่อน
แล้วการผ่อนคืนก็ค่อยว่ากัน
ทางบ้านจึงอยากได้บ้านใหม่ๆ
ขนาดและราคาสมน้ำสมเนื้อสักหน่อย
นอกเมืองสักนิดก็ไม่เป็นไร
บ้านเดี่ยวน่าจะเหมาะที่สุด

เมื่อประกอบโจทย์ข้อนี้เข้าไป
มันก็ดูจะลำบากขึ้นอีกหน่อย

โดยเฉพาะลำบากใจ
เพราะหากเอาเงินที่บ้านเยอะๆ
เพื่อนมันก็บอกว่า ทางฝ่ายผู้หญิงก็อยากให้แต่งปีนี้
เดี่ยวก็ต้องรบกวนเงินทางบ้านอีก
เพราะเงินเก็บก็ไม่ได้มีมากมายอะไร
เป็นหนี้มากก็จะลำบาก

ฟังดูอึดอัดแทน
บอกมันว่า แกอยากแต่งงานใช่ไหม
ถ้าอยากแต่งก็ต้องทน
แต่ถ้าไม่อยากแต่ง
เรื่องวุ่นๆทั้งหมดนี้ ก็แค่เรื่องงี่เง่า

มันบอกว่ามันอยากแต่ง
คนออกความเห็นก็เลยดูงี่เง่ากว่า 555

หลังจากตระเวนดูบ้านมาหลายเดือน
ท้ายที่สุดก็มีหลังที่เข้ารอบสุดท้าย
เป็นบ้านทาวเฮ้าร์ อายุ 10 กว่าปี ราคา 2.2 ล้าน
หลังจากมัดจำไปแล้ว 5 พัน
ซินแส จึงต้องถูกเชิญไปเยี่ยมชม
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
และเพื่อความสบายใจของเจ้าของเงิน

แต่ผลออกมาว่า ซินแสไม่อนุมัติ

ปัญหาหลังจากวันนั้นไม่รู้เป็นอย่างไร
แค่บอกเพื่อนว่า ยังไงก็คิดดีๆ
ประณีประนอมทุกฝ่ายให้ได้
อย่าได้ตามใจแต่ว่าที่ภรรยา
และแม่ของว่าที่ภรรยามากนัก
ฟังๆ ทางบ้านตัวเองบ้าง

เพื่อนมันรู้ว่าเป็นคำเตือนของพวกโสด
และกำลังเกลียดการแต่งงาน
มันก็คงฟังแบบผ่านๆ


กลับมาถึงที่พัก นั่งคิดว่า
ตกลงฮวงจุ้ยของบ้านมัน
ถูกกำหนดด้วยอะไรกันแน่
ความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
หลักการณ์ ทิศทางลม พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก
ว่าที่ภรรยา แม่ว่าที่ภรรยา พ่อแม่พี่น้อง หรือตัวมันเอง
แต่ที่แน่ๆ มันลำบากใจที่สุด

คิดเสร็จก็รู้สึกว่าเรื่องของมัน 555
นอนดีกว่า
นอนหลับไปจนเหนื่อย
ก็เลยแวะไปสยามพารากอน
ไปร้านคิโนะคุนิยะ ไปดูหนังสือ ฝึกปรือฝีมือการถ่ายภาพ
เพราะหลังจากผ่านทริปเนปาลแล้วรู้สึกว่า รู้ถ่ายไม่ได้ดังใจ

ระหว่างเดินทางกลับ
เจอเพื่อนนั่งกินกาแฟอยู่
ก็เลยนั่งบ่นเรื่องบ้านของเพื่อนให้มันฟัง
แล้วก็เลยบ่นเรื่องตัวเองไปด้วย
บ่น บ่น บ่น จนเหนื่อย ก็เลยกลับ
ถึงห้องก็หลับ

หมดไปหนึ่งวัน

Saturday, April 22, 2006

นั่งดูรูป

เมื่อวานตอนเย็น
นัดทานข้าวกับเพื่อนๆ
เลือกร้านส้มตำ
ได้กินอาหารรสจัดสมใจ

เช้านี้ตื่นสาย
เมื่อคืนฝันว่ายังเดินอยู่ที่เนปาล
หาทางกลับบ้านไม่ได้ เหนื่อยมาก

สายๆ เพื่อนโทรมาบอกว่า
ขอยกเลิกนัดวันนี้
เพราะสมาชิกยังติดภาระกิจกันอยู่

ว่างๆ ก็เลยนั่งดูรูป







Friday, April 21, 2006

ค ว า ม จ ริ ง กั บ สิ่ ง ที่ เ ห็ น . . . แ ล ะ สิ่ ง ที่ เ ป็ น



กลางคืน กำลังจะนอน
พี่สาวโทรมาบอกว่ากำลังท้อง
อยากจะสร้างบ้านใหม่
อยากให้หาแบบบ้านให้
และอยากยืมเงินสักก้อนหนึ่ง
ครึ่งหนึ่งของราคาค่าก่อสร้าง

ไม่ได้พูดอะไรมาก
ได้แต่ฟัง และคิดตาม

ตั้งแต่พี่ชายคนโตแต่งงาน
และมีพี่สะใภ้เขามาอยู่ในบ้าน
ดูเหมือนว่า พี่สาวคนนี้จะลำบากใจขึ้นทุกวัน
ไม่รู้ว่าเป็นความลำบากใจของพี่สาวคนเดียว
หรือเป็นความลำบากใจของสามีของเธอ
เพราะเมื่อคนเราแต่งงาน ดูเหมือนเขาเหล่านั้นจะเป็นคนใหม่
คนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
พี่สาวและพี่ชายของข้าพเจ้า ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ถ้าทุกคนไม่แต่งงาน
ปัญหาแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น อย่าแต่งงาน

แหะ แหะ แหะ
คิดง่ายๆ ดีนะเรา


กลางวันพี่ชายโทรมา
บอกว่ามีคนมาขายที่
ไร่ละ 5 หมื่น 40 ไร่
อยากให้ซื้อเอาใว้

ไม่ได้พูดอะไรมาก
ได้แต่ถอนหายใจ

พี่ชายจึงถามว่า ทำไม
ไม่มีเงินเหรอ

ฟังดูเป็นคำถามที่ตลกดี
จึงขำ และพูดออกไป
เงินสดสองล้าน เนี่ยนะ

พี่ชายย้อนว่า
ก็เห็นไปเที่ยวเมืองนอกได้
ทำไมไม่เก็บเงินใว้บ้าง

ก็เลยบอกไปว่า
เงินเก็บนะพอมี
แต่ไม่รู้จะโดนไล่ออกวันไหน

พี่ชายอึ้งไปเล็กน้อย
เพราะไม่เคยนึกว่า
ไอ้น้องคนนี้จะมีปัญหาแบบนี้ด้วย
ทุกคนทั้งบ้านเชื่อและเห็นมาตั้งแต่เด็กว่า
ชีวิตไอ้น้องคนนี้มันแสนสบาย
และโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

ได้พูดออกไปแล้วรู้สึกเบาใจขึ้น

และเริ่มมันใจว่า ถึงมันจะดีจะร้ายยังไง
ความจริงมันก็คือความจริง อย่าอ้ำๆอึ้งๆ
เพราะคนอื่นจะเข้าใจผิด แล้วเราจะลำบากทีหลัง




ปล.

รูปข้างบนคือ ทะเลสาปเฟวา
ถ่ายจากมุมที่เป็นลวดหนาม
ทะเลสาบสงบ สวยงาม
แต่คนกลับทำให้มันร้อน และน่ากลัว

Thursday, April 20, 2006

อ า ร ม ณ์ ไ ห น

ตั้งแต่กลับมาจากท่องเที่ยว
เหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์บางอย่าง

ไม่สามารถเรียกได้ว่าอารณ์ดี
แต่ก็ไม่ถึงขั้นเรียกว่าอารมณ์เสีย
มันเหมือนอารมณ์ขุนมัว

พยายามนึกว่าเกิดจากอะไร
พยายามหาสาเหตุให้เจอ

หรือว่าอารมณ์เที่ยวยังค้างคา
หรือว่ากำลังเบื่อกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
หรือว่ากลัวว่าต้องทำงานหกวันไม่มีเวลาเที่ยว
หรือว่าเซ็งกับงานที่ยังคั่งค้างอยู่
หรือว่าไม่อยากเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้
หรือว่าเล่นเอ็มเอสเอ็นไม่ได้
หรือว่าถ่ายรูปไม่สวย แล้วพาลเซ็ง

ไม่รู้จริงๆว่าอยู่ในอารมณ์ไหน


งั้นดูรูปตัวอย่างก็แล้วกัน

แปะรูปไม่ได้
เฮ้อ








แก้ไขแล้ว มาเท่านี้แหละ

Monday, April 17, 2006

ส วั ส ดี ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย

5 เมษายน
BKK - KTM ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง
ไปถึงก็ต้องรีบออกจาก KTM ให้เร็วที่สุด
เพราะจะมีการประท้วงหยุดทุกอย่างสี่วัน


6 เมษายน
ตอนเช้าหา taxi ไปสนามบินยากมาก
เมืองเต็มไปด้วยทหาร ตั้งใจว่าจะเดินไปสนามบิน ระยะทาง 8 กิโลเมตร
แต่ก็หา taxi ในราคาแพงกว่าเดิม 6 เท่า จนได้
บินออกจาก KTM - PKR ใช้เวลาแค่ 15 นาที ราคา 60 ดอลล์
เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดการณ์
ถึง PKR ทั้งเมืองก็มีแต่ทหาร taxi ก็โขกราคาเกินกว่าเดิมหลายเท่ามาก


7 เมษายน
เดินจากโรงแรมไปสนามบินระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
นั่งรอเครื่องบิน PKR - JOM ตั้งแต่เจ็ดโมง ได้เที่ยวที่ 4
พอจะถึงเวลาเช็คอินตอนใกล้เที่ยง
พนักงานก็แจ้งว่าเที่ยวบินถูกยกเลิก


8 เมษายน
เดินจากโรงแรมไปสนามบิน
นั่งรอเครื่องบิน PKR - JOM ตั้งแต่เจ็ดโมง ได้เที่ยวที่ 4
เริ่มโวยวายกับสายการบิน ที่ให้ไอ้ฝรั่งไปก่อน
ทั้งๆที่เราควรจะไปสิทธิ์ไปก่อนเพราะเครื่องเมื่อวานถูกยกเลิก
พอจะถึงเวลาเช็คอินตอนใกล้เที่ยง
พนักงานก็แจ้งว่าเที่ยวบินถูกยกเลิก


9 เมษายน
เดินจากโรงแรมไปสนามบิน
นั่งรอเครื่องบิน PKR - JOM ตั้งแต่ตีห้า ได้เที่ยวแรก
เครื่องได้บินสมใจ ถึง จอมสอม 8 โมง
เริ่มเดินด้วยการแบกเป้หนัก 10 กิโล
เป้าหมายคือ มุกตินาถ แต่จนถึงค่ำ ก็ไปได้แค่จาร์กอต
วันนี้เดินทั้งสินเกือบ 10 ชั่วโมง จากความสูง 2800 เมตร ถึง 3800 เมตร



10 เมษายน
เดินขึ้นไปมุกตินาถ เดินฝ่าหิมะ
เส้นทางสวยมาก สมาชิกไปได้แค่หนึ่งเดียว
ที่เหลือแพ้ความสูง ไปไม่ไหว

ประมาณ 11 โมงเริ่มเดินลงกลับมาข้างล่าง
ถึง marpha ที่หมายประมาณหนึ่งทุ่ม
ตลอดทางลมแรงมาก ฝนตกตลอดทาง
แถมเป็นลูกเห็บ แสบหน้ามากๆ
วันนี้ก็เดินไปกว่า 10 ชั่วโมง
เริ่มเป็นวัวเป็นควาย เดินกับเดิน



11 เมษายน
เดินเล่นในเมือง marpha เมืองแสนสวย
เป็นหมู่บ้านธิเบต ที่เต็มไปด้วยต้นแอลเปิ้ลที่กำลังให้ดอก
เริ่มเดินแปดโมงเป้าหมายคือ Ghasa
แต่เราไปกันได้แค่ Kalopani ก็มืดเสียก่อน
เส้นทางยาวไกล จาก marpha ถึง kalopani
เริ่มมีต้นสนภูเขาให้เห็น แตกต่างจากช่วงแรกที่เป็นภูเขาหิมะ



12 เมษายน
เราได้ยินข่าวว่าการประท้วงยิ่งรุ่นแรงขึ้น
จึงต้องเร่งเดินทำเวลามากขึ้น
จาก Kalopani เราก็เดินไล่ควายจนถึง Tatoponi ค่ำมืด
เราพักเหนื่อยด้วยการเอาเท้าแช่น้ำพุร้อน


13 เมษายน
จากเมือง Tatopani ทีระดับความสูงที่ 1200 เมตร
เรากำลังจะปืนขึ้นไปที่ระดับความสูง 3000 เมตร ที่เมือง Geropani
ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยนาขันบันได
และดงกุหลาบพันปี พื้นจึงโรยไปด้วยดอกกุหลาบ
ทั้งสีแดงและสีชมพู สวยงามและโรแมนติคมากๆ
แต่ควายอย่างเรา ไม่มีเวลาชื่นชม
เราถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิด
จึงมีเวลาเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Poonhill
กลางคืนเพื่อนๆ ไปดูการเต้นรำแบบพื้นเมืองภาคต่างๆ
เป็นงานส่งท้ายปีเก่าของที่นี้ แต่ข้าพเจ้าเลือกนอน



14 เมษายน วันปีใหม่ของชาวเนปาล
นักท่องเที่ยวทุกชาติตื่นตีสี
เดินขึ้นยอด Poonhill ด้วยไฟฉาย
วันนี้บนยอดคนล้านแปด ไม่ได้โร้ผู้คนเหมือนเมื่อวาน
จิบชิคโกแลตร้อน นั่งชมวิว ทำตัวติสท์ๆ
เสร็จแล้วก็รีบลงมาจัดของ
เพราะต้องเดินเป็นควายไปยังจุดจบของเส้นทาง
ซึ่งปกติเขาเดินกันสองวัน แต่เราต้องเดินวันเดียว
ถึงที่หมาย Beretanti เกือบห้าโมงเย็น


15 เมษายน
ปกติที่เมืองนี้ก็จะเป็นจุดจบการเดินเทรคกิ้ง
เพราะถึงทางถนนแล้ว สามารถนั่งรถเข้า PKR ได้เลย
แต่เขายังประท้วงหยุดงาน(และทุกอย่าง)กันอยู่
เราจึงต้องเดินกลับ PKR ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร
เริ่มเดินประมาณ 7 โมงครึ่ง
เดินขึ้นเขา ลงเขา เดินในป่า
เดินตามถนน ถึงที่พักประมาณสองทุ่ม
เดินกันจนเท้าพอง ขาเดี้ยง เพราะต้องแบกของด้วย
ที่เมืองนี้เราเจอคนไทยหลายคน
ทุกคนพยายามจะกลับบ้านให้เร็วที่สุด
เพราะสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ


16 เมษายน
เราต้องนั่งเครื่องบินจาก PKR - KTM เวลาประมาณ 11 โมง
ด้วยราคาที่ถูกโขกขึ้นไปถึง 76 ดอลล์ (ขามา 60 ดอลล์ จากราคาปกติ 45 ดอลล์)
สนามบินเต็มไปด้วยนั่งท่องเที่ยว ที่กำลังออกจากประเทศนี้
เราถึง KTM ประมาณเที่ยงกว่า รีบเอากระเป๋าแล้ววิ่งไปเช็คอินการบินไทย
ขอเลื่อนตั๋วกลับเร็วกว่ากำหนดหนึ่งวัน ใจหนึ่งก็เสียดาย
แต่อีกใจก็กลัว เพราะข่าวว่าวันพรุ่งนี้นักบินจะหยุดงาน ปิดสนามบิน
เพื่อความมั่นใจ พวกเราทั้งหมดจึงของกลับทันที
พอได้ขึ้นนั่งบนเครื่องการบินไทย
เราก็รู้สึกว่าได้กลับบ้านแล้ว
เครื่องบินประเทศเรามันเหลืออาณานิคมนอกประเทศยังไงยังงั้น


17 เมษายน
ตื่นตอนเช้า โทรไปหารุ่นพี่
เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันทำงาน
เปลี่ยนไปหยุดวันพุธแทน
ก็เลยมานั่งเล่นที่ทำงาน
แต่ไม่ค่อยมีคน เลยนั่งเล่น
เหมือนพักเหนื่อยจากทริป อึด นรก




ปล. นี่คือหนังตัวอย่าง
ของจริงพร้อมรูปจะตามมาอย่างรวดเร็ว
รับรองความมันส์

Monday, April 03, 2006

มนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวกัน

วันศุกร์

ตอนเย็น
แวะไปงานมีทตี้งชาวสะพายเป้ท่องโลก
สมาชิกที่ไปร่วมประมาณสักสามสิบคน

คนส่วนใหญ่ไม่เคยเจอหน้าค่าตา
แต่ก็มักจะคุ้นชื่อ จากเรื่องเล่าและภาพถ่าย
ที่แต่ละคนได้นำเสนอผ่านกระทู้ท่องเที่ยว

พี่คนหนึ่งเอารูปที่เพิ่งกลับมาจากรัสเซียมาให้ดู
เธอไปคนเดียว เหมือนเดิม

อีกคนก็เพิ่งกลับมาจากดูแสงเหนือ
ไม่ได้พกรูปถ่ายมาด้วย
แต่เรื่องเล่าของเธอก็ให้ภาพที่ชัดเจน

อีกคนหนึ่ง เพิ่งกลับมาจากนิวซีแลนด์
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่เขาคนนี้ไปดินแดนนี้
รูปที่ถ่ายมาให้เพื่อนๆดู
จึงมีลักษณะเจาะจงมากกว่าภาพวิว ทิวทัศน์

อีกกลุ่มหนึ่งกำลังดูรูปเส้นทางระหว่างเมืองชิมลา
ไปสู่แคว้นแคชเมียร์
พร้อมทั้งมีการสอบถามข้อมูลจากเจ้าของภาพ
เพราะมีคนกำลังจะเดินตามรอยเส้นทางนี้

ส่วนที่เหลือก็มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์
จากที่แต่ละคนได้พบ ได้เห็นจากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก
หลายคนไปมาแล้วเกือบทั่วมุมโลกจริงๆ
แต่บางคนก็รักมุมเดิม จึงเลือกไปซ้ำๆ แนวเดิม

ผมไม่แน่ใจว่า มนุษย์เผ่าพันธุ์สะพายเป้ เป็นแบบไหน
ลักษณะเด่นลักษณะด้อยเป็นอย่างไร
รู้เพียงแต่ว่า ในวันนั้น เราแบ่งปันกันเฉพาะความสุข
ความสุขที่เกิดจากการท่องเที่ยว

ลักษณะและความรู้สึกของการพูดคุย
เหมือนตอนที่เราเจอเพื่อนใหม่ ในขณะที่เราเดินทางท่องเที่ยว
เราจึงไม่นำพาเรื่องทุกข์ หรือปัญหาส่วนตัวติดตัวมากด้วย
ขนาดว่าคนหนึ่งรักท่านเหลี่ยมมากๆ
เพราะเป็นผู้บริหารใหญ่ที่เอไอเอส
แต่อีกคนเกลียดท่าเหลี่ยมมากๆ
เราก็ยังคุยกันได้สนุกสนาน
เพราะเราไม่คุยเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องเที่ยว
เราทิ้งปัญหาและที่มาของแต่ละคนใว้ที่อื่น


ระหว่างที่นั่งฟังเรื่องโน้น เรื่องนี้ จากคนโน้น คนนี้
ผมกลับรู้สึกว่า ผมได้คำตอบบางอย่าง ที่ผมกำลังสงสัย
แม้คำตอบมันจะไม่ได้ชัดเจนมากนัก
แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า มันควรจะเป็นอย่างไร




วันเสาร์



นั่งเคลียร์งานจนเกือบเย็น
แล้วก็แวะไปซื้อของเพื่อเตรียมตัวเดินทาง
เสร็จแล้วก็เลยไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ปีนี้ไม่ได้มีความตั้งใจหาหนังสืออะไรเป็นพิเศษ
แค่เพียงอยากได้สมุดบันทึกเล่มใหม่
เอาใว้ขีดๆ เขียนๆ จดอะไรกันลืม ระวังเดินทาง

ระหว่างที่ยืนดูหนังสือท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สำนักพิมพ์วงกลม
คุณคมสัน นันท ก็เดินเข้ามา และทักทายคนขาย
เพิ่งรู้ว่า คนที่กำลังนั่งขายคือ พี่นวล
พี่คนที่ได้ยินชื่อบ่อยมาก แต่นึกไม่ออกซะทีว่าหน้าตาเป็นยังไง
ทีนี้ก็จะได้จำได้ซะทีว่า พี่นวล หน้าตาแบบนี้นี่เอง

ขณะคุณคมสัน กำลังเดินออกไป
จู่ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนเลือกหนังสืออยู่เช่นกัน
เธอคนนี้ได้พูดประโยคบางอย่างกับพี่นวล

ความรู้สึกแรกคือ ทำไมผู้หญิงคนนี้เสียงเหมือนพี่แจ๋วจัง
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นด้านข้าง ก็ยังไม่คลายความสงสัย
หรือว่า เป็นญาติกับพี่แจ๋ว แต่ก็ไม่เคยเจอคนนี้ที่ร้านนี่นา
ระหว่างนึกไปนึกมา พี่คนนั้นก็หันมา
แล้วก็ผิดคาด เพราะเธอคือ พี่แจ๋วจริงๆ นั้นแหละ

ก็เลยได้ทักทายสวัสดี แบบสวัสดีดีใจ
ท่าทางพี่แจ๋วก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอ

หลังจากนั้นก็เดินคุยกับพี่แจ๋ว
แล้วก็เดินดูหนังสือไปด้วยกัน
จนไปถึงมติชน เพราะหนังสือเล่มใหม่ของพี่แจ๋วเพิ่งมาถึง

พี่แจ๋วอยากเจอน้องๆ คนอื่นๆ
โดยเฉพาะฝน โดยอยากเจอฝนแบบไม่มีเซอร์ไพร้ไปด้วย
แล้วพี่แจ๋วก็บอกว่าพรุ่งนี้นัดคนอื่นๆใว้
ถ้าว่างก็แวะมาเจอกันหน่อย

ระหว่างที่อยู่บูทมติชน ก็เจออาจารย์เทพ
จึงเอาหนังสือ บึงหญ้าป่าใหญ่ไปให้เซ็นต์
โดยบอกอาจารย์ว่า ผมเคยไปนอนที่บ้านอาจารย์ที่เชียงใหม่
แต่คาดว่าอาจารย์คงจำไม่ได้แน่ๆ ไม่เป็นไร

ออกจากงานก็เลยไปคลองถม
เพราะต้องการซื้อไฟฉาย เพื่อเดินเทรคกิ้ง
กว่าจะถึงที่พัก ก็เกือบเที่ยงคืน

กลับมาถึงก็ยังไม่นอน
รีบอ่านหนังสือเล่มใหม่ของพี่เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย

แปลกแต่จริงก็คือ
แม้จะอ่านหนังสือพี่เพลงดาบ
แต่ข้างในกลับเหมือยกับว่า
กำลังสะสางความรู้สึก และความสับสนบางอย่าง
ที่ติดๆ คาๆ มาในช่วงอาทิตย์นี้ให้ออกไป
กว่าจะหลับก็อ่านจนเกือบหมดเล่ม

จำความรู้สึกก่อนนอนได้
มันเป็นความรู้สึกทั้งดีใจ และ รู้สึกดี

พี่ๆ กลุ่มนี้เป็นมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง
ที่ทำให้ผมรู้สึกดีๆ ได้เสมอ

แม้ว่านานๆ จะเจอะเจอกันที
หรือการเจอะเจอก็อ่านจะเจอะเจอผ่านตัวหนังสือ
แต่มันก็รู้สึกดีว่า ยังมีคนรู้สึกแบบนี้อยู่ในโลก




วันอาทิตย์


ตื่นมาสายๆ
ทานข้าว
แล้วก็อ่านหนังสือของพี่เพลงดาบต่อจนหมดเล่ม

เข้าเนตหาข้อมูลท่องเที่ยวนิดหน่อย
แล้วก็ออกไปพันทิพย์ เพราะเพื่อนชวนไปซื้อโน้ตบุ๊ค

เดินถามร้านโน้น ร้านนี้
จากไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
จนสามารถหาซื้อได้แบบที่อยากได้

เสร็จแล้วก็แวะไปบ้านเพื่อนอีกคน
มันทำอาหารเตรียมใว้แล้ว
ทานข้าวเสร็จก็แวะไปดูบ้านที่เจ้าของกำลังประกาศขาย
กว่าจะเสร็จก็เกิอบสองทุ่ม

ระหว่างที่นั่งรถเพื่อน เพื่อจะไปศูนย์ประชุม
เพื่อนมันก็เล่าให้ฟังถึงปัญหาของมัน
ฟังดูแล้วยังหนักใจแทน
โดยส่วนใหญ่เพื่อนๆในกลุ่มรู้สึกว่า
เพื่อนคนนี้แหละ ที่ดูไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

มันบอกว่า มันนะมองว่า คนอย่างผมเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว
ผมก็เลยเล่าให้มันฟังว่า
ผมก็เหมือนมันนั่นแหละ ที่ถูกคนมองว่าดี
ทั้งๆจริงๆ ชีวิตลุ่มๆดอนๆ เต็มไปด้วยปัญหา

แปลกอย่างหนึ่งคือ เรารู้จักและสนิทกันมากว่าสิบปี
แต่เรากลับไม่ค่อยได้รู้จักความนึกคิดของแต่ละคนกันเลย

หรือว่าที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า
เราเป็นมนุษย์คนละเผ่าพันธุ์

ผมถูกมองว่าเป็นพวกสุขนิยม
สายลมแสงแดดอย่างสุดขั้ว
รถไม่ผ่อน บ้านไม่ซื้อ อยู่เป็นโสด
ท่องเที่ยวทุกครั้งที่มีโอกาส
มีความสุขกับการทำอะไรใหม่
ไม่มีภาระอะไรให้ต้องลำบากใจ

ส่วนผมก็มองว่า
เพื่อนกลุ่มนี้เป็นพวกวัตถุนิยม
พยายามซื้อบ้านหลังโตๆ
ซื้อรถคันใหญ่ๆ แต่งงาน มีลูก
พยายามให้ลูกเรียนโรงเรียนแพง
พยายามสะสมทรัพย์ทุกวิถีทาง
ความสุขของคนเหล่านี้อยู่ตรงไหน
แล้ว เขามีชีวิตอันแห้งแล้งไปเพื่ออะไร


ถึงวันนี้
ผมตระหนักได้ว่า

เราทุกคนเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งนั้น
เพียงแต่ เราไม่ได้พยายามเปิดหัวใจ เพื่อพูดกัน
เราจึงตัดสินกันแบบคิดไปเอง จากสิ่งที่เรารับรู้

เราทุกคน มีความกลัว
เราทุกคน มีความรัก
เราทุกคน ต้องการความสุข

และ
เราทุกคนก็
ต้องเผชิญความทุกข์
เหมือนๆกัน



ปล ....
5-17 ไปเนปาล
หยุดเขียนบลอค