Tuesday, February 28, 2006

จิปาถะ 16 : วัยเปลี่ยน ความจริงเปลี่ยน

จิปาถะ 1601





รูปนี้ถ่ายตอนไปเที่ยวพม่า
กำลังพยายามทำblog ทริป เล็ก เล็ก ฉบับ พม่า
ตามด้วยทริป เล็ก เล็ก ฉบับ เวียดนาม
ทริป เล็ก เล็ก ฉบับ ลาว
และ ทริป เล็ก เล็ก ฉบับ กัมพูชา



จิปาถะ 1602


เด็กๆจ๋า
รู้ไหมเลือกกินไม่ดี
ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง

ผู้ใหญ่จ๋า
รู้ไหมเลือกกินดี
ทำให้ร่างกายแข็งแรง



จิปาถะ 1603

รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า
สามีเธอกำลังนอกใจ
ถามเธอว่ารู้ได้อย่างไร
เธอตอบว่า เขาก็ปฎิบัติต่อเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง
ยกเว้นพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ที่เปลี่ยนไป
ถามเธอต่อว่า ระแวงเกินไปหรือเปล่า
เธอตอบว่า เธอเคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอย่อมรู้ดี
ถามเธออีกว่า ในเมื่อเขาปฎิบัติต่อเธอเหมือนเดิม
ใยต้องไประแวงหรือกังวลว่าเขานอกใจ
เธอตอบกลับมาว่า ปฏิบัติเหมือนเดิม คนละเรื่องกับ นอกใจ
เมื่อจนปัญญาที่จะช่วยอะไรได้มาก
ก็ได้แต่พยายามแก้ต่างให้สามีของเธอ
เพราะเชื่อมั่นว่า เธอมีความเชื่อ และคำตอบอยู่ในใจ
และ ผู้หญิงก็มักอยากฟังในสิ่งที่อยากได้ยินเท่านั้น
วินาทีนี้เธออยากได้ยินข้อแก้ตัวดีๆ จากคนรอบตัว
และคนที่เธออยากได้ยินมากที่สุดคือ สามีเธอนั่นแหละ



จิปาถะ 1604


ด้วยความสงสัย
พยายามคิดเอง
ก็ยังหาคำตอบไม่ได้


สมมุติ นายกลาออก
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ก็คงต้องมีนายกคนใหม่มา
ก็เป็นพรรคพวกกลุ่มเดิม
คนคุมอำนาจก็ยังเป็นคนเดิม
แล้วอะไรเปลี่ยนไป


สมมุติ ยุบสถา
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ก็คงมีการเลือกตั้งใหม่
คนที่ได้มาก็เป็นคนเดิม
คนคุมอำนาจก็ยังเป็นคนเดิม
แล้วอะไรเปลี่ยนไป


สมมุติ แก้รัฐธรรมนูญ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ก็คงได้กฏหมายใหม่ๆ
คนที่ได้ใช้ก็เป็นคนเดิม
วิธีการหลบหลีกใหม่ๆก็ตามมา
แล้วอะไรเปลี่ยนไป


สมมุติ ทุกคนอยู่เฉยๆ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

คนกลุ่มเดิมก็คง ฉกฉวย ตักตวง
กอบโกยผลประโยชณ์
เข้าตัวเองและพวกพ้องกันต่อไป
ปล่อยให้ประชาชนมองตาปริบๆ


ทางออกของปัญหามันอยู่ตรงไหน
ด้วยปัญญาที่มีอันน้อยนิด ก็คิดไม่ออก
แล้ว เรากำลังเรียกร้องหาอะไรกัน


ใครก็ได้ ช่วยอธิบาย หน่อยเถอะ


เขียนข้อความนี้ใว้หลายวัน
ยังไม่ได้คำตอบจนบัดนี้
แต่ก็จะรอต่อไป


จิปาถะ 1605

บทความในคอลัมน์คุยกับความคิดของ มุกหอม
ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันอาทิตย์ ที่ 26
เขียนเรื่อง blog ใว้ได้น่าสนใจ เธอกล่าวในทำนองว่า

วัฒนธรรมการเขียนบันทึกมันเป็นของใหม่
พร้อมกับตั้งคำถามว่า ในบันทึก
เรากำลังคิดว่าเราพูดกับใคร
(นั่นนะสิ คนส่วนใหญ่นึกถึงใครตอนเขียนบันทึก)

การเขียนบลอคเพราะเราอยากให้คนได้อ่าน
การเขียน บลอคก็เป็นการสร้างตัวตนเสมือน
หรือจะเรียกง่ายๆคือ ตัวตนแบบจอมปลอม
เพราะมีการคัดกรองเฉพาะส่วนที่อยากนำเสนอเท่านั้น

รู้สึกเห็นด้วยกับเธอในหลายประเด็น
แต่ก็ยังมีความเห็นแย้งในบางจุด
(ซึ่งจะนึกแบบชัดๆ ไม่ออก 555)
เอาเป็นว่านึกออกเมื่อไหร่ค่อยเขียนก็แล้วกัน
วันนี้จดใว้ก่อน

เออ ปกติ คนส่วนใหญ่เขานั่งอ่านบันทึกตัวเองหรือเปล่านะ

Friday, February 24, 2006

VERS LE SUD : HEADING SOUTH


- 1 -







"เป็นอะไรหรือเปล่า" นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันถามฉัน หลังจากเห็นฉันนั่งซึมๆ มองภาพชีวิตและทิวทัศน์เบื้องหน้า "สวยมาก แต่ฉันรู้สึกเศร้า" ฉันตอบสั้นๆ เธอพยักหน้า พร้อมทั้งย้ำด้วยคำพูดว่า เธอเข้าใจ
ฉันทำหน้าประหลาดใจ เพราะไม่เชื่อว่าเธอจะล่วงรู้ความในใจของฉันได้จริงๆ เธอไม่ปล่อยให้ฉันต้องถามว่า สิ่งที่เธอเข้าใจนั้นมันคืออะไร เพราะเธอเริ่มอธิบายสิ่งที่เธอคิดให้ฟัง

ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพื่อนๆฉัน หรือ ใครๆ ก็ตามหากคุณมีโอกาสได้คุยกับเขา ย่อมเข้าใจความรู้สึกของคุณตอนนี้ เมื่อฉันยังไม่เลิกประหลาดใจ เธอจึงอธิบายต่อ

ฉันรู้สึกชอบที่นี้ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ผู้คน ชีวิตเรียบง่าย ทุกอย่างดูสวยงาม น่ารัก ดูเหมือนเมืองในภาพวาด หากให้ฉันมาเป็นผู้คนที่นี้ ฉันก็คงไม่เลือกหรอก มันอาจจะสวยงามในสายตาของผู้ที่แข็งแรง ในสายตาของผู้ชม แต่คนที่ต้องอยู่กับมันตลอดเวลาอาจจะรู้สึกสุดจะทนแล้ว เธอพยามอธิบาย ช้าๆ

คุณอาจจะรู้สึกเศร้ามากกว่าฉัน เพราะประเทศของคุณแข็งแรงกว่ามากๆ ประเทศฉันไม่ได้แข็งแรงกว่าประเทศนี้นักหรอก คุณคงเคยไปเที่ยว ที่ฉันเศร้าก็คือ การมาของฉัน คุณ หรือนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ มันทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าที่มันเคยเป็นไหม ฉันพยายามอธิบายยาวๆ บ้าง เธออาจจะไม่เข้าใจที่ฉันพยายามพูด แต่ฉันเชื่อว่าเรากำลังพูดภาษาเดียวกัน

ประเทศของคุณไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก ฉันเคยไปเที่ยวหลายๆ ที่มันแย่กว่าที่คุณกำลังเห็นตรงหน้ามากนัก
เธอพยายามย้ำให้ฉันเชื่อตามเธอ พร้อมทั้งพูดต่ออีกว่า

แม้การท่องเที่ยวมันจะมีข้อเสียหลายอย่าง แต่มันก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างการที่คุณกำลังเศร้า แสดงว่าจิตใจคุณกำลังอ่อนโยน คุณพร้อมจะเข้าใจ และกำลังเห็นใจคนอื่น หากมีโอกาสคุณก็พร้อมจะแบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่นตามที่คุณพอจะมีกำลัง ด้วยสายตาของการมองโลกแบบอ่อนโยนนี่แหละ ฉันเชื่อว่ามันจะทำให้โลกสวยงาม เราจะทำร้ายกันน้อยลง คุณเชื่ออย่างฉันไหมละ

บทสนทนาของเธอและฉันดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนที่เราจะปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน
และฉันก็นั่งอ่านทบทวนบันทึกเรื่องราวที่เจอะเจอในวันนี้

ฉันตื่นนอนตั้งแต่เช้า เพราะนอนไม่ค่อยหลับ อาบน้ำจัดเก็บของทุกอย่างเสร็จก็เกือบหกโมง รอรถตามที่นัดใว้แต่เมื่อไม่เห็นวี่แวว ฉันก็เดินออกมาหารถให้ไปส่งที่สายใต้ด้วยตัวเอง มาถึงสถานีสายใต้ ปรากฎว่ารถเที่ยวหกโมงครึ่งยังไม่ออก ทุกคนพยายามคะยันคะยอให้ไปคันนี้ ลังเลไปลังเลมา ฉันก็ไปตามที่เขาบอก นั่นแปลว่า การจองเที่ยวเจ็ดโมงจากในเมืองหลวงพระบางเมื่อวาน ไม่ได้มีประโยชณ์อันใดเลย ดูราวกับว่า มาทันคันไหนก็ไปคันนั้น

รถคันนี้ขนมอเตอร์โซน์อีกแล้ว มอเตอร์ไซน์จากเมืองจีน คงหลั่งไหลเข้ามาในประเทศนี้ มากพอๆ กับนักท่องเที่ยวแน่ๆ ทุกอย่างกำลังหลั่งไหลมาเปลี่ยนประเทศนี้ โดยเฉพาะหลวงพระบางที่ฉันเพิ่งจากมา ฉันมีสิทธิจะไม่เห็นด้วย แต่ฉันก็ต้องเคารพสิทธิของคนอื่น สิทธิการเลือกด้วยตัวของเขาเอง - เพียงแต่ให้เขาเลือกด้วยตัวเองพอ อย่าให้ใครมาบังคับให้เลือก

ฉันได้นั่งคู่กับคุณลุงชาวหลวงพระบาง ลุงบอกว่าปกติลุงนั่งเครื่องบิน แต่คราวนี้ลุงเลือกนั่งรถเพราะอยากดูวิวสวยๆ ลุงใส่ทอง และมีโทรศัพท์มือถือด้วย ลุงบอกว่ากำลังจะไปหาลูกสาวที่เวียงจันทร์ แต่ลึกๆ ฉันเชื่อว่า ลุงเป็นตำรวจ ตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่นั่งปะปนไปกับรถนักท่องเที่ยว ฉันอยากเชื่อแบบนี้ มันทำให้ฉันอุ่นใจดี

ตลอดเส้นทางมันสวยจริงๆ แรกๆ ฉันรู้สึกดีใจที่เลือกเที่ยวเช้าสุด เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยทะเลหมอก ทะเลหมอกที่แถวบ้านฉันหาได้ไม่ง่าย แต่กว่าจะถึงวังเวียงในตอนเที่ยง ทะเลหมอกเธอก็ไม่กลัวแดด ฉันจึงทักทายกับเธอซะจนสนิทสนม นี่แหละความสวยงามแบบไม่ต้องพยายาม

ฉันคงมีวิญญาณคนเจ้าชู้แน่นอน เพราะฉันตกหลุมรักวังเวียงตั้งแต่แรกพบอีกแล้วเมืองเล็กๆ ล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน แม่น้ำเล็กๆ ใสๆเย็นๆ ท้องทุ่งสีเหลืองหลังการเก็บเกี่ยวโรแมนติคมากๆ ฉันจะมาฮันนี่มูนที่นี้ ฉันต้องจดใว้ก่อน เราต้องรู้จักเตรียมความพร้อม... เธอจ๋า อยู่ที่ไหน มาเสียที ฉันเตรียมหลายๆ อย่างรอใว้แล้วนะ ... เพ้อเจ้ออีกแล้ว

กว่าจะเลือกที่พักได้ก็เล่นเอาฉันเหนื่อย เพราะฉันเริ่มเลือกมาก นอกจากทำเลที่ตั้งของเกสส์เฮาร์แล้ว ปัจจัยของราคาก็มีผล แปลกแต่จริงคือ บรรดาที่พักที่เคยมีคนแนะนำเอาใว้มันเป็นที่แพงๆ ทั้งนั้น ขนาดบรรดาฝรั่งนักท่องเที่ยวค่าเงินแพงก็ยังไม่เลือกพัก นักท่องเที่ยวตัวเล็กกระเป๋าเบา อย่างเราก็ไม่ควร ที่พักของฉันออกห่างออกมาจากตลาดเล็กน้อย ราคาถูกใจ บรรยากาศ น่าหลงรัก ฉันพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ตอนที่ฉันกำลังรอเพื่อเช็คอินเข้าที่พัก ผู้จัดการเกสส์เฮาร์กำลังส่งแขกกลับเวียงจันทน์ ฉันติดใจกับคำทักทายของเขาทั้งสองเล็กน้อย แม้อาจจะเป็นแค่คำพูดล้อเล่นกันก็ตาม

"เจอกันใหม่" นักท่องเที่ยวตาสีฟ้า ผมสีทองกล่าวลา ตามธรรมเนียมธรรมดา ธรรมดา
"ฉันก็หวังใว้ ฉันไม่มีความสามารถไปเจอคุณที่บ้านคุณได้แน่ๆ แต่คุณคงกลับมาที่บ้านฉันได้อีกหลายๆ ครั้งเลยแหละ ‘ ผู้จัดการเกสส์เฮาร์กล่าวตอบด้วยความจริงใจ

หลังจากอาบน้ำ ฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ สงสัยเพราะเที่ยวหักโหมติดต่อกันมา 5 วัน วันนี้ฉันจึงเลือกนั่งพัก นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกตรงหน้าที่พัก มันสวยงามมากจริงๆ ผู้หญิงกำลังเก็บสาหร่ายในแม่น้ำ กว่าชั่วโมงแล้วที่ฉันเห็นเธอทำงานนี้ ช้าๆ เงียบๆ เด็กๆมาเล่นกระโดดน้ำ บางคนนำเสื้อผ้ามาซัก อีกคนก็กำลังตักน้ำรดผักที่ปลูกใว้ใกล้ๆแม่น้ำ ดูเหมือนสายน้ำซอง มันเป็นสายน้ำแห่งชีวิตของคนที่นี้ สายน้ำที่สวยงาม ชีวิตที่สอดคล้องกับสายน้ำ ฉันกำลังสงสัยว่า ปราการธรรมชาติจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ใว้ให้เขาได้นานแค่ไหน ข่าวว่าสัมปทานการทำไม้ที่คนจากประเทศฉันกำลังพยายามเร่งการผลิตกำลังรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าถึงวันที่แม่น้ำซองเหือดแห้งไปจริงๆ ชีวิตที่นี้จะเปลี่ยนไปแบบไหน ฉันไม่ได้คิดถึงแค่ความสวยงามเท่านั้น ฉันเชื่อว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับอะไรใหม่ๆ ได้อย่างแน่นอน แต่มันจะต้องให้ความอดทนอีกสักเท่าไหร่ ทำไมคนที่แข็งแรงกว่าพยายามตักตวงจากผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อไหร่เราจะอยู่ร่วมโลกใบนี้ด้วยการแบ่งปันและเจือจาน

นี่ฉันกำลังเริ่มเศร้ากับอะไรกันนี่

ฉันเขียนบันทึกได้แค่นี้ ก่อนที่จะได้ยินคำถาม "เป็นอะไรหรือเปล่า"
ก่อนที่ฉันจะตอบว่า "สวยมาก แต่ฉันรู้สึกเศร้า"


10 ธค 46




- 2 -








Port-au-Prince resort
มีหาดทรายที่ยังคงความงามแบบดั่งเดิม
ที่พักสวยงาม อาหารรสดี ดนตรีเต็มไปด้วยสีสัน
การบริการที่ยอดเยี่ยมจากพนักงาน
ที่นี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกเรียกว่า
ดินแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว
ที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถทำตัวได้ราวกับเทวดาหรือนางฟ้า
ที่ที่นักท่องเที่ยวมีอำนาจ สามารถทำตัวตามความปรารถนา
ปราศจากกฏเกณเหมือนสังคมเดิมๆของตัวเอง








Brenda (Karen Young)
Sue (Louise Portal)
และ Ellen (Charlotte Rampling)
สามสาววัยทองเดินทางมาพักผ่อนณ สรวงสวรรค์นี้
สรวงสวรรค์ที่เธอสามารถหาซื้อ sex ได้จากหนุ่มๆท้องถิ่น
และทั้งสามก็ตกหลุมรักหนุ่มคนเดียวกัน
Legba (Monothy Cesar) หนุ่มน้อยชาวไฮติ

นี่ภาพความสวยงามในสายตานักท่องเที่ยว
ซึ่งตรงกับข้ามกับภาพความจริงในด้านของชาวเมือง
ส่วนภาพอีกด้านหนึ่งถูกแสดงให้เห็นประเทศไฮติ
ประเทศที่ตั้งของดินแดนสวรรค์ดังกล่าว
ประเทศที่ยังเต็มไปด้วยปัญหาความยากจน
ซึ่งยังผลไปสู่ปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย
อาชญากรรม การใช้อำนาจเถื่อน การทำงานผิดกฏหมาย
หรือแม้กระทั่งการต้องทำงานขายร่างกายของหนุ่มๆ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับหญิงชาวฝรั่งเศส
บทภาพยนตร์ถูกดัดแปลงจากเรื่องสั้นของนักเขียนเชื้อสายไฮติ


ขณะดูภาพยนตร์เรื่องนี้
ฉันกำลังนึกถึงเรื่องที่เคยเขียนบันทึกใว้
เมื่อหลายปีที่ก่อน

Thursday, February 23, 2006

CASA DE AREIA : The House of Sand



ภาพทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา
ที่มุมหนึ่งของจอภาพ
กองคาราวานค่อยๆปรากฏขึ้น
กองคาราวานที่ดูเล็กราวขบวนแถวของมด

Aurea เดินทางมากับกองคาราวานนี้
เธอเดินทางมาพร้อมกับแม่ และลูกในท้อง
มาตามความปรารถนาในการสร้างดินแดนใหม่ของสามี
เธอรู้สึกว่าดินแดนนี้ไม่เหมาะแก่ลูกของเธอ
เธอเชื่อว่า มันไม่เหมาะแก่ใครเลยต่างหาก
เธออยากออกไปจากดินแดนแห่งนี้

แม่ของเธอพยายามติดสินบนลูกจ้างด้วยเงินทั้งหมดที่มี
เพื่อแลกกับการพาพวกเธอไปจากดินแดนนี้
พวกลูกจ้างก็จากไปจริงๆ แต่จากไปโดยปราศจากพวกเธอ
ด้วยความหุนหัน สามีของเธอก็เกิดอุบัติเหตุจนถึงตาย

แล้วบทละครแห่งการดิ้นรนออกจากดินแดนแห่งทะเลทราย
บทละครที่ถูกแสดงถึงสามชั่วอายุคนก็เริ่มต้น





บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รางวัลจากเทศกาล sundane
ผู้กำกับเล่าว่า โครงเรื่องของเรื่องนี้มาจากรูปถ่ายเพียงใบเดียว
รูปถ่ายของบ้านร้างที่จมอยู่ในทะเลทราย
รูปถ่ายที่ทำให้เขาจินตนาการไปถึงคนที่เคยใช้บ้านหลังนี้
และพัฒนามันขึ้นมาเป็นบทภาพยนตร์

บทเจรจาในหนังเรื่องนี้ มีน้อย
เพราะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับและผู้เขียนบท
ที่ไม่ต้องการให้บทเจรจามาทำลายสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ

ภาพทะเลทรายที่ปรากฏในภาพยนตร์
ผู้กำกับและตากล้องไม่อยากให้มองมันเป็นสวนสวรรค์
เขาอยากได้ความรู้สึกของความทุรกันดาร
เขาก็สามารถถ่ายจนรู้สึกได้ราวกับว่า ทะเลทราย เป็นตัวละครตัวหนึ่ง
ทีมงานเล่าว่า พวกเขาต้องเข้าไปดูสถานที่ถ่ายทำทุกฤดูตลอดทั้งปี
เพื่อที่จะให้ได้ภาพในแบบที่ต้องการ
แต่ถึงอย่างไร ภาพที่ปรากฏมันก็ยังสวยงาม ตรึงตาอยู่ดี

สำหรับการแสดงของตัวละครหลัก Fernanda Montenegro
และFernanda Torres ทั้งสองคน ถือว่ากลมกลืนมาก
คงด้วยเหตุผลที่ผู้กำกับบอกใว้ว่า เขาได้นักแสดงก่อนที่จะเขียนบท
เพราะฉะนั้นลักษณะ บุคลิกของตัวละครจึงถูกพัฒนามาจากนักแสดงทั้งสองคน
โดยเฉพาะ Fernanda Montenegro ที่แสดงทั้งสามชั่วอายุ
กับ บทแม่ของ Aurea ในช่วงต้น บท Aurea ตอนแก่ในช่วงกลาง
และบท ลูกสาวของ Aurea ในช่วงสุดท้าย ถือว่ายอดเยี่ยมมาก
ส่วน Fernanda Torres ซึ่งรับบทสองช่วงอายุ คือ
บทของ Aurea ในช่วงต้น และ บทลูกสาวของ Aurea ในช่วงกลาง
ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

หากบุคลิกบางอย่างในวรรณกรรม
อย่าง หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เพดโด พาราโม
จะทำให้เรารู้สึกถึงพลังของการเล่าเรื่องแบบอเมริกาใต้
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีลักษณะก็คงจะมีพลังแบบเดียวกัน
พลังแบบที่ city of god เคยทำใว้
สำหรับเรื่องนี้ พลังการเล่าเรื่องแบบนั้น
จะทำให้เราตั้งคำถามกับชะตากรรมของตัวละคร
แล้วเกิดความคิดต่อเนื่องไปถึงไหนต่อไหน

บทสนทนาระหว่าง aurea กับลูกสาว
ในตอนท้ายเรื่องน่าจะเป็นการขมวดปม
และย้ำสารที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อได้ดี


"ผู้ชายไปดวงจันทร์" ลูกสาวเอ่ย
"ผู้ชายไปดวงจันทร์" aurea ย้ำ
"เขาเจออะไรบนนั้น" aurea ถาม
"ไม่มี" ลูกสาวตอบ
"ไม่มี" aurea ย้ำ
"ไม่มีอะไรบนนั้น มีข่าวว่ามีแต่ทราย" ลูกสาวเล่า
"ทราย" aurea ย้ำ
"ทราย" ลูกสาวตอบ
แล้วทั้งสองก็ยิ้ม

Tuesday, February 21, 2006

ไม่รู้สิ

ระหว่างที่กำลังดำน้ำดูหมู่ปลาในท้องทะเล
คุณเคยรู้สึกว่า
ปลาเหล่านี้มันน่าทานไหม

ไม่รู้สิ
ความคิดนี้มันน่ากลัวนะ


มีคอลัมน์หนึ่งในนิตสารสารคดีเล่มล่าสุด
เล่าเรื่อง ชายคนหนึ่ง ที่ออกตามหาคนที่มีอายุมากที่สุดในโลก
เขาบอกว่า คนที่มีอายุเกินหนึ่งร้อยปีมีน้อย (จำตัวเลขไม่ได้)
แล้ว คนที่อายุยืนที่สุดจะมีอายุ 137 ปี (มั้ง)
เขายังบอกอีกว่า ส่วนมากคนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ดูอบอุ่น ใจดี มีความน่าเคารพ

ไม่รู้สิ
คนแก่(มาก)ทุกคนจะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ
มันดูเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อยนะ


กระบวนการทางการเมือง
เพื่อขับไล่นายกกำลังดำเนินำไปต่อเนื่อง
ทางฝ่ายนายกเองก็ยังเปิดทาง ปกป้อง ตักตวง ผลประโยชณ์
อย่างถูกต้องตามหลักการและกฏหมาย


ไม่รู้สิ
แล้วเราจะจบเรื่องนี้กันยังไง
หนีเสือปะจรเข้ไหม
เบื่อ หน่าย และ หมดหวัง


ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว

ไม่รู้สิ
มันนิ่งๆ ยังไงไม่รู้

Thursday, February 16, 2006

จิปาถะ 10 : รูปจิปาถะ



ถ่ายจากที่พัก
เห็นท้องฟ้ามีสีสรรเยอะ เลยเอากล้องมาถ่ายใว้




พาพี่สาวไปเที่ยวแถวพระอาทิตย์
ไม่รู้จะถ่ายอะไร ก็ถ่ายอันนี้







ผลงานการออกแบบของบริษัทที่จ่ายเงินเดือนให้ผม
หวังว่าวันหนึ่งจะฝีมือของผมบ้าง







สุโขทัย เป็นรูปสุดท้ายก่อนที่กล้องเสีย
มันเลยออกมาเป็นแบบนี้เอง
สวยดี ชอบ

Wednesday, February 15, 2006

หมู่เกาะสุรินทร์ หลังสึนามิ : ภาพชุด ท้องฟ้า


















- - เรื่องเล่าไม่เกี่ยวกัน - -

ชอบเพลงนี้ - เคยบอกใว้
ถึงวันนี้ก็ยังชอบอยู่
ชอบร้องเพลงนี้ในใจตอนนอนมองฟ้า






ที่เรากำลังจะทำวันนี้คือการลาจาก
เราคงจะทำกันได้ไม่ลำบาก
วันเวลาเรานั้นำด้เลยผ่านไป
แต่เราจะลากันไปภายใต้ความเรืองรอง
เวลาที่ยังมีแสงตะวันส่อง
มันเป็นการร่ำลาที่มีแต่ความเข้าใจ

เหลือทิ้งใว้แค่ภาพดีๆ
ตะวันจวนจะลับฟ้าลงทุกที
อย่างน้อยเรายังได้ร่วมจดจำเวลานี้เอาใว้

เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันอีกครั้ง
เราจะมองดูเมฆที่ลอยล่องไป
เราจะเอนเอาหลังพิงกัน
มองดูความแปรผันของฟ้า ... และหัวใจ

สิ่งที่เราเคยมี เคยฝันเมื่อวันก่อน
ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน
มันบางเบาดังเมฆที่ลอยผ่านไป

เมื่อวันที่ความเป็นจริงในชีวิตคืบคลานมา
พาความเยาว์วัยผ่านไปช้าๆ
สุดท้ายก็คงจะมาถึงวันที่เราต่างคนต่างต้องไป


คำร้อง สุรักษ์ สุขเสวี

หมู่เกาะสุรินทร์ หลังสึนามิ : ภาพชุด หาดทราย



















- - เรื่องเล่าไม่เกี่ยวกัน - -






คิด ว่าความรักเรา
ดั่งรอยเท้า บนผืนทราย
คลื่นซัดสาด เห็นรอยเท้า สลาย
ดุจดั่งความรักต้องกลับกลาย สูญจากไป

:- รอยเท้าบนผืนทราย พิงค์ แพนเตอร์



อีกเรื่องหนึ่ง ที่พวกรุ่นพี่เคยเล่าให้ผมฟัง
และผมก็มักจะเล่าให้ตัวเองฟัง ในวันที่ท้อ



footprints in the sand ( รอยเท้าบนผืนทราย)


คืนนึง
มีชายคนนึงฝันว่าเขากำลังเดินไปบนหาดทรายกับพระเจ้า
และบนท้องฟ้าก็ปรากฏเรื่องราวต่างๆ ขึ้นในชีวิตของเขา
ในแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น
เขาเห็นรอยเท้า 2 คู่บนผืนทรายเดินไปด้วยกัน
คู่หนึ่งเป็นของเขา
และอีกคู่หนึ่งเป็นของพระเจ้า
เมื่อเรื่องราวฉากสุดท้ายได้จบลง
เขาหันกลับไปดูรอยเท้าบนผืนทราย
ปรากฏว่ามีหลายครั้งในชีวิตของเค้าที่มีรอยเพียงคู่เดียวเดินไปลำพัง
เขาสังเกตว่าทุกครั้งที่ชีวิตของเขาตกต่ำและโศกเศร้า
จะเหลือรอยเท้าเพียงคู่เดียวบนหาดทราย
เขาสงสัยมาก เขาจึงถามพระเจ้าว่า
" พระองค์เจ้าข้า
พระองค์สัญญาว่าตั้งแต่วินาทีแรก
ที่ผมตัดสินใจติดตามพระองค์
พระองค์จะอยู่กับผมตลอดไป
แต่ผมพบว่า
ในขณะที่เกิดปัญหาหนักในชีวิตของผม
มีรอยเท้าเพียงแค่คู่เดียวเหลืออยู่
ผมไม่เข้าใจเลยว่า
ในเวลาที่ผมต้องการพระองค์มากที่สุด
พระองค์กลับทิ้งไป "

พระเจ้าตรัสตอบเขาว่า
"ลูกเอ๋ย ลูกที่รักของเรา
เรารักเจ้า และไม่เคยทอดทิ้งเจ้า
ในช่วงเวลาแห่งการทุกข์ลำบากของเจ้า
เจ้าเห็นรอยเท้าเพียงคู่เดียว
เป็นเพราะว่า เราอุ้มเจ้าไว้

หมู่เกาะสุรินทร์ หลังสึนามิ : ภาพชุดทะเล























- - เรื่องเล่า ไม่เกี่ยวกัน - -


จำวันแรกที่ไปส่งที่บ้านได้ไหม
- ชายหนุ่มพูดขึ้น
....................
- หญิงสาวตอบ แต่ตากล้องไม่ได้ยิน


ตอนนั้นรู้สึกยังไงกับเราละ
- ชายหนุ่มถามอีก
...................
- หญิงสาวตอบ ตากล้องก็ไม่ได้ยินอีก





รูปนี้ชื่อว่า อิจฉา คร้าบบบบบบบบบบ

Thursday, February 09, 2006

แฟนฉัน ภาคสาม ตอน เพื่อนสนิท

ดากานดา คือชื่อของ หนังสือ กล่องไปรษณีย์สีแดง ฉบับพิมพ์ครั้งใหม่
ที่เปลี่ยนไปทั้งรูปโฉมไปเยอะ คงเป็นเหตุผลต่อเนื่องมาจากภาพยนตร์เรื่อง เพื่อนสนิท

กล่องไปรษณีย์สีแดง ฉบับหนังสือนั้น ผ่านตามานานหลายปี
แนะนำ หยิบยื่น ให้คนรอบตัวอ่านกันหลายคน
ส่วนใหญ่คนที่ไม่ได้เป็นนักอ่านตัวยง จะชอบหนังสือเล่มนี้
แต่คนกับคนที่เป็นนักอ่านหลายต่อหลายคน กลับ เฉยๆ
โดยส่วนตัวผมค่อนข้างไปทางพอใจ
ส่วนหนึ่งเพราะชอบอ่านโปสการ์ด
อีกส่วนก็รู้สึกว่า ไอ้หมอนี่มันโรแมนติกดี

สำหรับ ดากานดา นั้น
รูปโฉมใหม่สวยงาม
มีภาพประกอบเยอะขึ้น
มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิทอยู่มาก

สุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิท
ตอนเข้าโรง ก็ตั้งใจว่าจะไปดู
แต่จนแล้วจะรอดก็ไม่สบโอกาส
จึงต้องรอให้วนกลับมาอีกทีในรูปแบบวีซีดี

แล้วเมื่อวานก็มีโอกาสได้ดูสมใจ

หนังเปิดเรื่องที่ เจ้าไข่ย้อย หรือ นายหมู ตัดผมอยู่ที่ร้าน
ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆกับร้านตัดผมของพ่อของน้อยหน่าในเรื่องแฟนฉัน

แล้วเจ้าไข่ย้อยก็กลับมาที่บ้าน
บอกที่บ้านว่าจะไปเที่ยวสักพัก
เดินทางด้วยรถไฟ ลงเรือ
จุดหมายที่เลือกนั่งคือ พงัน
ระหว่างอยู่บนเรือ เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ขาหัก
แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างนายหมูกับนุ้ย

หนังตัดกลับไปสมัยที่ไข่ย้อย เด็กจาก กทม
เข้าเรียนปีหนึ่ง คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สาวน้อยชื่อ ดากานดา ซึ่งมีความหมายว่า หญิงผู้เป็นที่รัก
ได้เข้ามาทักทาย และ เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตไข่ย้อยในมหาลัย

หนังเล่าสลับไป สลับมา
ระหว่างเรื่องราวของ นายหมูกับนุ้ย บนเกาะพงัน
และ นายไข่ย้อยกับดากานดา ในรั้วหมาลัย

ในหนังสือ กล่องไปรษณีย์สีแดงนั้น
มันเหมือนเราฟังเรื่องเล่า จากปากของไข่ย้อย
โดยที่เราไม่โอกาสได้รับรู้ว่า
ดากานดาและนุ้ย เป็นอย่างไร ในแบบที่เธอเป็นจริงๆ

หนังพยายามให้รายละเอียดของทั้งสองคนมากขึ้นกว่าหนังสือ
แต่ก็ยังน้อยเกินไปที่จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอทั้งสอง

ความสนุกอีกอย่างหนึ่งที่หนังสามารถมีเพิ่มกว่าหนังสือคือ
หนังสามารถสร้างตัวละครได้มากกว่าหนังสือ
แม้บางตัวจะ "เกิน" ไปบ้าง
แต่โดยรวมก็ถือว่า ทำให้เรื่องมีสีสันต์มากขึ้น

อย่างพ่อแม่ของดากานดา
แม้จะมีบทไม่เยอะ แต่ก็แข็งแรงพอจะบอกว่า
ทำไมดากานดาจึงมีบุคลิก นิสัยใจคอ แบบที่เป็นอยู่
(ผมชอบครอบครัวแบบนี้ ดูเพี้ยนนิดๆ แต่อบอุ่นมาก)

ตอนที่อ่านหนังสือ ผมรู้สึกว่า ดากานดา
ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไข่ย้อยเกินเพื่อน
ผมเชื่อไปเองว่าไข่ย้อยคิดไปเอง
เพราะดากานดามีนิสัยแบบ "คนเมือง"
จึงเป็นเพื่อนแบบคนเมือง
แต่ในหนังกลับให้ความชัดเจนต่อเรื่องความสัมพันธ์ค่อยข้างสูง

สำหรับนุ้ยก็เช่นเดียวกัน
ผมรู้สึกว่า เธอมีน้ำใจต่อเขา
ในมาตรฐานของคนมีน้ำใจในเมืองท่องเที่ยว
และหนังก็ให้ภาพที่ชัดเจน
ซึ่งบางทีก็ชัดเจนจนเกินไปด้วยซ้ำ

ยิ่งตอนจบของหนัง
ผมไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่
น่าจะจบแบบทิ้งๆ ค้างๆ ใว้บางก็ดี

หนังเรื่อง เพื่อนสนิท ถือเป็นหนังรักที่น่าดู
ผมเคยพูดเล่นๆกับเพื่อนเสมอว่า นี่คือ แฟนฉันภาคสาม
เพราะแฟนฉันภาคหนึ่งเป็นสมัยประถม
แฟนฉันภาคสองก็ควรจะเป็นเรื่องรักสมัยมัธยม (GTH ยังไม่ทำ)
แฟนฉันภาคสามก็เป็นเรื่องรักสมัยมหาลัย ชื่อตอน เพื่อนสนิท
แฟนฉันภาคห้า ก็คงเป็นเรื่องรักสมัยทำงาน อันนี้รอใครสักคนทำ
แฟนฉันภาคหก ก็ วัยอลวน 4 ไง




หมายเหตุ

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมติดใจกับหนังเรื่องนี้คือ
บ้านที่เจ้าไข่ย้อยไปเช่าอยู่
หน้าตาและทำเลมันเหมือนบ้านของเพื่อนผม

สมัยที่พวกเราเพิ่งเรียนจบมหาลัยหมาดๆ
พวกเราได้ล่องใต้ท่องเที่ยว
เริ่มต้นที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งที่สงขลา
ต่อไปที่สตูล เพื่อไปเที่ยวเกาะ
เป้าหมายต่อมาก็บ้านเพื่อนที่ภูเก็ต
แล้วก็มาต่อที่บ้านเพื่อนที่พงัน
แล้วก็ไปบ้านญาติมันที่เกาะเต่า
วนไปพักโรงแรมฟรีที่สมุย
ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนคนนี้เป็นยังไงบ้าง
เจอกันครั้งสุดท้ายก็งานฟุตบอลประเพณี
มันเพิ่งจบโทมาจากอเมริกา
แล้วกำลังจะกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน

สงสัยต้องหาโอกาสว่างๆ
แวะไปเยี่ยมมันซะหน่อย
แต่ต้องวางแผนลาก "เพื่อนสนิท" ของมันไปด้วย
ซึ่งอันนี้ก็คงเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย

Wednesday, February 08, 2006

ตัวตน II

เกือบทุกๆวัน
ฉันจะรู้สึก สุข สงบ
แรงกายเต็มร้อย
แรงใจเต็มเปี่ยม

แต่กับบางวัน
ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม

อะไรทำให้ฉันรู้สึกแบบแรก
อะไรทำให้ความรู้สึกตรงกันข้าม

หากฉันรู้ว่า
อะไรทำให้ฉันรู้สึกดีๆ
ฉันจะพยายามรักษามันใว้ให้ได้ตลอดเวลา

หากฉันรู้ว่า
อะไรทำให้ฉันมีความรู้สึกแย่ๆ
ฉันจะได้ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น



วันนี้ฉันรู้สึก สุข สงบ

อาจเป็นเพราะฉันตื่นเช้า
อาจเป็นเพราะฉันโกนหัว
อาจเป็นเพราะฉันไม่มีเรื่องกังวลใจ
อาจเป็นเพราะฉันเขียนเมลล์ถึงเพื่อนๆ
อาจเป็นเพราะฉันกำลังจะได้ไปเที่ยว
หรือ อาจเป็นเพราะ ...

Tuesday, February 07, 2006

ตัวตน

ขณะว่างๆ หัวโล่งๆ หลังจากคุยงานกับลูกค้า
รอเวลาให้คนอื่นเคลียร์งานเพื่อเลิกงาน
จะได้กลับไปนอน เพราะเวลาก็เดินมาจนจะเที่ยงคืน

หลังจากท่องเที่ยวไปตามเว็ปต่างๆ
จนเกิดทางตัน นึกไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ
เปิด google ขึ้นมา นึกหาคำเพื่อกำหนดต้นทาง
นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นที่คำไหนดี

จู่ๆ มีเพื่อนเรียกชื่อ เพื่อคุยงาน
จึงเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมา
ชื่อและนามสกุลตรูนี่แหละ
ลองหาดูสิ ว่ามันจะปรากฎในโลกไซเบอร์บ้างไหม

นาย ... นามสกุล ...
จะมีตัวตนอยู่แห่งหนใดในโลกใยแมงมุม

พิมพ์ชื่อ และนามสกุลลงไป
ก็มีอาการลุ้นเล็กๆว่า
จะมีชื่อเราไปปรากฏ ณ.ที่ไหนหรือเปล่า
ผลปรากฏว่า มันมีตัวตนจริงๆ
แห่งหนที่ปรากฏไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนัก
เป็นเรื่องของอาชีพการงาน
สบายใจไปหนึ่งเปราะ

ลองเปลี่ยนใหม่เป็นชื่อภาษาอังกฤษเพื่อค้นหา
ปรากฏว่ามีตัวตนอีกแล้ว
แห่งหนก็ไม่ได้ประหลาด เรื่องของงานอดิเรก

ทีนี้เริ่มอยากรู้มากไปกว่านั้น
เริ่มใส่ชื่อเพื่อนสนิทๆ
สิ่งที่ต้องประหลาดใจคือ
ตรูสะกดชื่อภาษาไทยของบรรดาเพื่อนสนิทไม่ถูก
นามสกุลยิ่งแล้วกันไปใหญ่
มิพักต้องพูดถึงชื่อภาษาอังกฤษ
ยากที่จะเดาว่ามันใช้ตัวอะไร


ช๊อค !!!

นี่ขนาดแค่ชื่อนามสกุล ตรูยังไม่ได้ใส่ใจเลย
แล้วเรื่องที่มันสำคัญกว่านี้ ละ


ตรูตกใจมาก ...ย้ำอีกที

Monday, February 06, 2006

ขี้เกียจ

เย็นวันศุกร์


เพื่อนโทรมา ให้ไปเจอที่สยาม
ความตั้งใจว่าจะไปออกกำลังกาย
ก็เลยเป็นหมัน

เพื่อนพาไปกินไอศกรีม
ด้วยข้ออ้างว่าลูกมันอยากกิน
เพราะเอาเข้าจริง
พวกพ่อแม่และลุงมันนี่แหละที่กินเยอะ

กินเสร็จ
ตั้งใจว่าจะรีบไปสะสางงาน
เอาเข้าจริง ก็เดินไปดูโปรแกรมหนัง
โชคดีไม่มีหนังที่อยากดูมาก
และรอบหนังก็ต้องรออีกหลายชั่วโมง

กลับถึงห้อง
ตั้งใจว่าจะลงมือทำงาน
เปิดคอม เปิดเนต
แล้วก็นั่งอ่านโน้นอ่านนี่ไปเรื่อย
จนปวดตา และง่วง จึงหลับ

งานที่ตั้งใจใว้ก็ผลัดไปก่อน


วันเสาร์



ตื่นมาเกือบบ่ายสอง
ตื่นในความหมายที่ลุกจากเตียง
ไปอาบน้ำ และออกไปข้างนอก

เพื่อนชวนไปกินข้าวที่บ้านรุ่นพี่
เป็นงานเลี้ยงทำบุญฉลองลูกชายคนใหม่
ได้ข้ออ้างว่าทำงานไม่เสร็จ เลยรอดมาได้
แต่ก็ดันออกไปออกกำลังกาย

กลับมาอีกที หกโมง
ซื้อไก่ย่างมาหนึ่งตัว
นั่งกินไก่ พร้อมดูทีวี
เปิดดูสนธิ สลับกับดูนายก
กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็รู้สึกว่าดึก
ก็ขี้เกียจทำงานอีกแล้ว


วันอาทิตย์


นอนกลิ้งไปกลิ้งมา จนปวดหัว
ก็เลยลุกไปอาบน้ำตอนเที่ยง
หาอะไรกิน แล้วก็นอนอ่านหนังสือจบไปหนึ่งเล่ม
หัวใช้เท้า ของ วชิรา อ่านสนุกดี แต่ยังไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่

อ่านหนังสือจบ
พักสายตา
แล้วก็ดูทีวี

ดูแดจังกึม เรื่องที่เขาบอกว่าดังมาก
ดูข่าวทั้งสองฝาก
ดูรายการท่องเที่ยว
ดูรายการหักหลังผู้ชาย
(รายการที่ไม่ค่อยชอบ แต่ก็เพิ่งรู้สึกว่า ติดตามตลอด)

ก่อนนอนก็ตกใจว่า
ผ่านมาสองวัน
ตรูยังไม่ได้ทำงานเลยสักนิดเดียว
แล้วจะทำยังไงเนี่ย

นอนคิดไป คิดมา คิดไป คิดมา
(กรุณาอ่านทวนประโยคข้างบนสัก 100 รอบ)
จนนอนไม่หลับ

ยังผลให้ ....



เช้าวันจันทร์


ตื่นสาย
ไปทำงานสาย
มาถึงที่ทำงานก็นั่งเล่นเนต
ใกล้เลิกงานก็เริ่มเครียด
จะเอางานที่ไหนไปส่งเขา


เฮ้อ กลุ้มใจเจงๆ


ปิดโทรศัพท์
กลับบ้านไปนอน
ดีก๋า




ปล.

1. โฆษณาของกระทรวงกีฬาบอกว่า
ดูกีฬา ทำให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากยาเสพติด
ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกี่ยวกันยังไง ดูกีฬา กับร่างกายแข็งแรง

2. วชิรา บอกว่าที่ดูไบมีเกย์เยอะ
ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่
เพราะลักเพศเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศมุสลิม

3. ดูแดจังกึมแล้วรู้สึกว่า ตกลงมีแดจังกึม และตัวร้ายเท่านั้นที่ฉลาด
ที่เหลือ โง่กันหมด

4. ผู้ชาย = เจ้าชู้ <--- ไม่น่าจะจริง

5. เรื่องทั้งหมดเป็นนิทานของเด็กเลี้ยงควาย ที่เคยเลี้ยงแกะมาก่อน
ใครเชื่อว่าเป็นความจริง จะเป็นได้เป็นนายก ฉลาดแบบแดจังกึม และ
ชอบสีเหลืองแบบสนธิ

Friday, February 03, 2006

ดอกไม้ยังมี





เมื่อวานไปกินข้าวที่ร้านสามเสนซอยสาม
ลมพัดเย็นสบายดี
นานมากแล้วที่ไม่ได้หัวเราะติดต่อกันนานแบบนี้
อย่างนี้ต้องพยายามนัดกันไปกินข้าวบ่อยๆ






วันนี้หยิบอัลบัมดอกไม้ยังมี ของ วารุ มาฟัง
ชุดนี้ออกตั้งแต่ปี 44 ถึงตอนนี้ไม่เคยเห็นอัลบัมที่สอง
คือไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า เพราะไม่เคยเห็น
แล้วถ้าเห็นก็คงจะซื้อ เพราะชอบชุดแรก

Thursday, February 02, 2006

Big Momma's House 2




เมื่อวานมีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องนี้
พวกเพื่อนๆ เล่นเกม ก็เลยได้ไปดูรอบ preview
และก็เหมือนเดิม ครั้งนี้ สมาชิก เกือบสามสิบชีวิต

หนังฉายที่ เซ็นจูรี โรงหนังเก่าที่เคยปิดตัวไป
และกลับมาก่อสร้างใหม่อีกรอบ

ตัวโรงหนังใหญ่โต ระยะระหว่างเก้าอีกก็เว้นไปเยอะ
ความลดหลั่นของแต่ละแถวก็เป็นเสต็ปเหมือนขั้นบันได
ระบบเสียงก็ยังดี เพราะว่ายังใหม่
ทั้งหมดนั่นคือข้อดี ที่ถูกลบไปหมด
เพราะลักษณะการออกแบบอาคารโดยรวม

เหมือนเจ้าของตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกอะไรเป็นตัวนำ
อาคารมันจึงถูกรวบรวมจากลักษณะเด่นสามแบบ
อาคารสำนักงาน อาคารสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์
โดยที่พยายามให้ทุกๆอย่างแสดงความโดดเด่น
เป็นเหตุผลให้เกิดความยุ่งเหยิง

สามชั้นแรกเป็นร้านค้าและร้านอาหาร
โดยพยายามวางรูปแบบเส้นทางการเดิน
ให้ทุกๆพื้นไม่มีศักยภาพในการขาย
อาคารสำนักงานอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง
จึงดึงลิฟท์พร้อมห้องน้ำไปอยู่ที่นั้น
โรงภาพยนตร์อยู่ชั้นบนสุด

รอบที่ดูนั้นหนังเลิก สี่ทุ่ม
ร้านค้าด้านล่างปิดหมดแล้ว
การเดินผ่านเพื่อไปที่จอดรถจึงค่อนข้างน่ากลัว
การไปถึงลิฟท์ก็น่าอันตรายเหมือนกัน

สรุปคือ งานนี้สถาปนิก ทำงานผิดพลาด

กลับมาถึงเรื่องหนัง หนังตลก พอเอาตัวรอดไปได้
ถ้าเสียเงินดู หรือตั้งใจเพื่อไปดูหนังโดยตรง อาจจะเสียใจได้
แต่มันก็เป็นเหตุผลที่ดีของการไปเจอเพื่อนฝูง

ข้อดีของหนังอีกอย่าง
ไม่น่าเชื่อว่า การแต่งหน้าจะเปลี่ยน ผู้ชายคนหนึ่ง
เป็นป้าอ้วนๆ ได้เนียนขนาดนั้น
อือ นี่คือ มายา จริงๆ

ฉากที่ทำข้าพเจ้าขำมากที่สุด คือ
ฉากที่ล้อเดมี่มัวร์ ในหนังเรื่องชาลีแองเจิล
ฉากเดมี่มัวร์กับกระดานโต้คลื่นนั่นแหละ



ปล.

วันนี้ได้ชิม rotiboy แล้ว
แต่ได้ชิมแค่นิดเดียว ปริมาณเท่าเหรียญบาท
พอดีคนส่งเอกสารที่ทำงานเขาไปซื้อมาให้ชิมกันทั้งออฟฟิศ