Wednesday, January 31, 2007

FinalScore

ตั้งใจว่าจะหาเวลาไปดู นเรศวร
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดู
ก็งงตัวเองเหมือนกันว่า
ยุ่งตรงไหน
แต่ละวันก็ว่างๆ ซะ

ก็เลยสรุปเอาว่า
มันยังไม่ประจวบเหมาะ

ตอนนี้อยากดูเรื่อง Rough อีกเรื่อง
ไม่รู้ว่าจะได้ดูสมความตั้งใจหรือเปล่า

ชอบผู้กำกับ นานะ
ชอบการ์ตูนของ อาดาจิ

Final Score ก็เหมือนกัน
เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้แล้วอยากดู
ยิ่งได้ฟังหลายๆคนพูดชม
ก็ยิ่งมันใจว่า จะหาเวลาไปดู
หากให้หาเวลาไปดูเองจริงๆ
กว่าจะหาได้ หนังอาจจะออกไปแล้ว

เมื่อวานก็เลยประจวบเหมาะ
เพื่อนได้บัตรฟรีมา
หาคนไปดูไม่ได้
แถมได้ไปลองโรงใหม่
เมเจอร์ฮอลลีวูด

รอบหนังที่ฉายนี้เป็นรอบของ
สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์
ก็เต็มไปด้วยบรรดาผู้กำกับและคนในวงการ
หลังจากหนังจบก็มีการถามตอบ(Q&A)
กับผู้กำกับและทีมงานด้วย

FinalScore โปรโมทว่า เป็นหนังสายสารคดี
ไม่มีบท แต่คงมีโครงเรื่อง
ตามถ่ายชีวิตเด็กมัธยมหก
ที่กำลังเตรียมตัวสอบเอ็นท์ทราน

ผู้กำกับเล่าว่า
เขาเริ่มจากความสนใจเรื่องการศึกษา
จึงเลือกทำหนังสารคดีที่มองเรื่องการศึกษา

หลังจากได้คุยกับทางค่ายหนัง
โดยคุย จิระ มะลิกุล
ก็สรุปเรื่องกันที่การเอ็นท์ทราน

ทางทีมงานก็เริ่มทำการหาข้อมูล
และเริ่มมองหาเด็กที่จะตามติดชีวิต
จากโรงเรียนสอนพิเศษทั้งหลาย
และท้ายที่สุดก็มาลงท้ายที่ เปอ
เด็กเซอร์ และติสท์สุดๆ (อันนี้ผมพูดเอง)

เปอ เรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ
พ่อเป็นวิศวกรโยธา ที่บ้านมีฐานะดี
เป็นเด็กจิตใจดี ที่เอาแต่ใจ
มีลูกบ้าเยอะ

การติดตามชีวิตของเปอ
ก็ทำให้ได้รู้จักเพื่อนของเปอ
ทางทีมมงานจึงได้ตัวละครเพิ่มโดยบังเอิญ

ความกลัวอย่างหนึ่งของทีมงานคือ
โปรเจ็คหนังสารคดีเรื่องนี้
มันจะมีจุดจบอย่างไร
หากระหว่างการถ่ายทำ เด็กเลิกให้ถ่าย
หรือเนื้อเรื่องมันจะออกทะเลหรือไม่

แต่เปอ ก็เป็นศิลปิน โดยกำเนิด
ชีวิต ม .6 ของเปอ มันคือภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
มาถึงจุดนี้ ผมก็เกิดความสงสัย
มันเป็นความโชคดีของทีมงาน
หรือเป็นการสร้างมันขึ้นมา

หากใครมีโอกาสได้ดู
จะรู้ได้ว่า ทุกอย่างมันลงตัว
เกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าความบังเอิญ

ถึงผมจะเชื่อมาตลอดว่า
ชีวิตทุกคน มันมีเรื่องราวที่น่าสนใจ
แต่คนนอกคนหนึ่ง จะรู้ช่วงจังหวะ
ราวกับเขียนมันขึ้นมาเองได้อย่างไร

พลังของหนังเรื่องนี้ทั้งหมดคือ เปอ

หลังจากดูหนังจบ
ผมอยากได้ดูฉบับที่หนึ่งของหนังเรื่องนี้
เพราะอยากเห็นว่า
ทีมงานคิด และเห็นอะไรกันแน่
เนื่องฉบับที่ 12 ที่ออกฉายนี้
คือฉบับที่ประณีประนอมกับทุกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
ทั้งค่ายหนัง ผู้ปกครอง และบุคคลทุกคนที่ปรากฏในหนัง
จึงไม่ต้องแปลกเลย หากหนังเรื่องนี้คือหนัง feel good เรื่องหนึ่ง

มีประเด็นหนึ่ง
ที่ตอนดูผมไม่ติดใจสักเท่าไหร่
แต่หลังจากที่มีคนถาม
ผมกลับรู้สึกไม่ดีกับหนังทันที

มีคนหนึ่งถามว่า
ตอนที่เปอไม่ยอมเข้าสอบเอ็นท์
วิชาสังคม เนื่องจากไม่สบายใจ
จากเรื่องความรัก
ทีมงานที่ถ่ายตอนนั้นรู้สึกอย่างไร

ทางทีมงานตอบว่า
มันเป็นการตัดสินใจของเปอเอง
เปอจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เขาไม่ได้ทำอะไร
ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายชีวิตเปอ

นั่นหมายความว่า
ตอนนั้น
ทีมงานไม่ได้ทำอะไรเลย
ได้แต่ตามถ่าย

ในความคิดของผมคือ
ไร้น้ำใจมาก

เทียบกับอีกคำถามหนึ่ง ก่อนคำถามนี้
มีคนถามว่า ตอนที่เปอมีความรัก
ลุ้นไหมว่าให้อกหัก จะได้มีดราม่า

ทีมงาน ตอบว่า เราลุ้นให้ดี
เพราะสภาพเราตอนนั้นคือ
เป็นเพื่อนกับเปอ

เพื่อนแบบไหนกันฟระ
ที่เห็นเพื่อนไม่ยอมเข้าสอบ
แล้วไม่ทำอะไรเลย

ได้แต่เอากล้องถ่ายใว้
เพราะรู้ว่า นี่คือ ฉากเด็ดของหนัง


ไร้ศีลธรรม



หลังจากกลับมาถึงที่พัก
ผมถามตัวเองว่า
ทำไมตอนดูในหนังผมไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่
ตอนที่เห็นเปอไม่ยอมเข้าสอบ
เพราะมีเรื่องผิดใจกับสาว

ก็เพราะว่า หนังปูเรื่องมาจนถึงระดับ
ทำให้ผมรู้สึกว่า นี่คือภาพยนตร์
มันไม่ใช่ชีวิตจริง

หรือว่า ตอนถ่ายทำ
ทีมงานจะรู้สึกแบบนี้

คิดว่านี่มันคือ เรื่องแต่ง
ไม่ใช่ชีวิตจริง
จนหลงลืมไปว่า

มนุษย์ ถูกสร้างมาจากความรัก
และการรักเพื่อนมนุษย์
ก็เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้สวยงาม

ถึงตอนนี้ผมอยากถามทีมงานว่า

หากระหว่างการถ่ายทำ
เด็กพวกนี้ไปทำอะไรที่มันผิดร้ายแรงมากๆ
ถึงขั้นอาจเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปเลย
พวกคุณจะห้ามปรามหรือมีปฎิกริยาอะไรไหม

หรือจะตอบว่า
ปล่อยให้เขาเผชิญเอง

แล้วคุณก็จะถ่ายภาพเก็บใว้
เอาใว้ใช้ประโยชณ์

ผมว่าการทำหนังสารคดี
มันต้องมีกรอบอยู่เหมือนกัน
กรอบของความเป็นเพื่อนมนุษย์

หรือว่าเพราะผมไม่เคยกำกับภาพยนตร์
จึงเข้าใจอะไรผิดไป

อ้อ
เขียนมาถึงตรงนี้
ยังอยากจะบอกว่า
หนังเรื่องนี้น่าดู

หากมีโอกาสประจวบเหมาะ
ก็ควรจะดู

สำหรับผม ไม่ค่อยอิน
เพราะไม่เคยเรียนมอหก
ตอนเอ็นท์ก็สนุนสนานไปตามประสา
ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เรียนมอหก

Tuesday, January 30, 2007

ค่อยๆ ไปเถอะ

พยายามเขียนอะไรสักอย่าง
เพื่อทำความเข้าใจ
กับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้
แต่ปัญหาคือ
เขียนไม่ได้ ...ดั่งใจ


ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ฉันได้เจอมิตรสหายเกือบทุกกลุ่ม
(แม้อาจจะขาดหายไปหลายกลุ่ม)

มันทำให้ฉันได้คิด
และทบทวนอะไรหลายๆอย่าง

บางเรื่องชัดเจนเป็นคำพูด
แต่กับบางเรื่อง
ก็ช่างเป็นนามธรรมซะเหลือเกิน




- - - - - -



ที่มาของชื่อที่ไม่เกี่ยวกัน
มาจากการชอบประโยคนี้

ทางอีกแสนไกล
ที่เราต้องเจอะเจอ
ค่อยๆ ไปเถอะ
จะดีไหม

อยากพูดข้อความข้างต้น
กับทุกๆ คนที่หวังดี (หรือไม่หวังอะไรเลย)


เนื้อเพลงเต็มของ เพลงหยดน้ำ คือ

เพียงวันละเล็ก ละน้อย
ให้มันเป็นไปอย่างนี้ทุกวัน
ให้เหมือน หยดน้ำที่มันหยดลงที่เดิม...เสมอ
รักน้อย ๆ แต่มาคงที่เถอะเธอ
ก็พอชื่นใจ

ให้เป็นแค่น้ำ หยดน้อย
หยดลงเบาๆ ที่พื้นหัวใจ
ให้รัก ซึมซับลงไปประจำทุกวัน..เสมอ
รู้ว่ารัก แต่อย่าใจร้อนเลย...นะเธอ

ให้วันพรุ่งนี้ช่วยพิสูจน์ความรัก
ให้วันเวลารวบรวมรักที่ได้จากเธอ
ทางอีกแสนไกล ที่เราต้องเจอะเจอ
ค่อยๆ ไปเถอะ จะดีไหม

ทำทีละนิด ละน้อย
และคอยดูแลให้รักงดงาม
หยดน้ำ ไม่นานจะเป็นดั่งธารน้ำเย็น...สดใส
และให้รู้ว่าเป็นความรักจากใจ
เพียงไม่ช้าไม่นาน

ให้วันพรุ่งนี้ช่วยพิสูจน์ความรัก
ให้วันเวลารวบรวมรักที่ได้จากเธอ
ทางอีกแสนไกล ที่เราต้องเจอะเจอ
ค่อยๆ ไปเถอะ จะดีไหม

และจะรักหมดหัวใจ


- - - - - -


วันนี้ชวนกันอู้งานไปเดินเกษตรแฟร์
ซื้อแต่ของกิน
เกือบทุกอย่างที่เห็น
ทั้งๆ ที่ต้องควบคุมอาหารกันทุกคน
เนื่องจากว่า ตระเวนกิน จนน้ำหนักเกิน

ระหว่างเดินอู้กันอยู่
เจ้านายที่สำนักงานใหญ่โทรมา
บอกว่ามีงานใหม่ให้ทำ

เป็นโครงการบ้านพักตากอากาศที่สมุย
อยากให้ฉันไปบริหารโครงการนี้
แต่เป็นการลุยเดี่ยว
เริ่มตั้งแต่ต้นจนจบงาน
มองในแง่หนึ่ง คือถูกส่งไปตาย
แต่มองในแง่ดีว่า เขาเชื่อมั่นในฝีมือ


โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
ฉันตอบปฎิเสธ

ฉันยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากก้าวหน้า
ขอเป็นฉันแบบนี้แหละ

ค่อยๆ ไปเถอะ
ท่าจะดี ... กว่า
มั้ง

Saturday, January 27, 2007

มกราคม 2550

แค่เดือนมกราคมเดือนเดียว
สามารถสร้างน้ำหนักเพิ่มถึง 4 กิโลกรัม
รอบเอวขยายจนเลยขนาดกางเกงที่มี
สร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

ลองนับทบทวนที่มาของน้ำหนัก
น่าจะมาจากการเดินสายกินเลี้ยงนี่เอง

วันที่ 5 มื้อเย็น
กินเลี้ยงกับหน่วยงานที่ร้าน อ.มัลลิการ์

วันที่ 6
มื้อเที่ยง ร้านเสต๊กลาว
มื้อเย็น ร้านเจ๊ไข่

วันที่ 7
มื้อเที่ยง ฟูจิ
มือเย็น ร้านบ้านดอกไม้

วันที่ 8
มื้อเย็น ร้านสรรพรส

วันที่ 11
มื้อดึก ร้านอาหารอียิปแถวนานา

วันที่ 13
มื้อเที่ยง ร้านสมพงษ์

วันที่ 14
มื้อเย็น บ้านเพื่อน

วันที่ 21
มื้อเย็น ร้าน Le Spice ที่ไนท์บาซ่า เชียงใหม่
ซึ่งเป็นร้านเพื่อนที่เพิ่งเปิดใหม่

วันที่ 22
มือเย็น ร้าน รวมมิตร
ร้านอาหารจีน

วันที่ 24
มื้อเที่ยง ร้านอาหารเกาหลี

วันที่ 26
มื้อเย็น ร้านสรรพรส

วันที่ 27
มื้อเย็น อาหารทะเลบ้านรุ่นพี่

วันที่ 28
มื้อเที่ยง งานเลี้ยงคืนสู่เหย้า
มื้อเย็น งานแต่งงานเพื่อน


นี่หมายถึงเฉพาะมื้อที่มีการสังสรรค์เท่านั้น
ยังไม่รับรวมมือปกติ

เดือน กุมภาพันธุ์จึงต้องมีภาระกิจใหม่
นั่นคือ การควบคุมน้ำหนัก และซื้อกางเกงใหม่

Wednesday, January 24, 2007

ซากุระ แบบ ไทย ไทย
































Wednesday, January 17, 2007

400D

หลังจากทบทวนอยู่นาน
ทนใช้กล้องมือถือ
ก็ได้ฤกษ์ถอยกล้องใหม่



Cannon 400D ราคา 24990 บาท



Lens Sigma 18-200 mm ราคา 12500 บาท



และกระเป๋าราคา 1800 บาท

รวมทั้งหมดก็ ... เฮ้อ


ได้มาก็ต้องลองของใหม่



นาฬิกาปลุก




โต๊ะทำงาน



ชั้นหนังสือ



แล้วก็หอบมาถ่ายที่ทำงาน
สร้างคุโณประโยชณ์




Monday, January 15, 2007

ฉลาม ที่ Siam Ocean World













มีโอกาสได้เข้าไปเที่ยว
สยามโอเชี่ยนเวิร์ล
หากเทียบจากราคาบัตร 450 บาทนั้น
ถือว่าไม่แพง หากเทียบกับประสบการณ์
การได้เห็นสัตว์ที่โอกาสในชีวิตหนึ่ง...น้อยนิดที่จะเจอ
หรือบ้างใคร ในชีวิตจริง
อย่าเจอจะดีกว่า

แต่หากเข้าไปเพื่อความตื่นตาอลังการ
ถือได้ว่าแพงมาก








ปลาฉลาม ที่ตัวยังติดอยู่กับไข่





ฉลามอีกประเภทหนึ่ง





ปลาหน้าประหลาดๆ





กุ้งชื่ออะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้





อันนี้ไม่เกี่ยวกัน
แต่หลานอยากนั่ง
มันอยู่ที่สวนลุม
คนละ 100 บาท ไม่คุ้มเลย

บอกหลานว่า
ไปนั่งดูที่โต๊ะทำงานน้าก็ได้
ใกล้ๆกัน แถมสูงกว่าด้วย

แต่หลานมันไม่ยอม
ก็เลยต้องพามันขึ้นไป

Wednesday, January 10, 2007

2550

ทั้งๆที่รู้และเข้าใจ
เวลามันเดินไป
ปีใหม่ ปีเก่า
ถูกกำหนดขึ้นมา
ไม่ต่างกันระหว่างพระจันทร์ตกในวันสุดท้ายของปี
หรือพระอาทิตย์ของปีใหม่ขึ้นมา
แต่ก็อดให้ความสำคัญกับมันไม่ได้

ฉันก็เป็นมนุษย์อย่างนี้แล

ปีใหม่นี้
ฉันวางแผนใว้มากมาย
อยากไปท่องเที่ยวที่โน้นที่นี้

ท้ายที่สุดก็จบลงที่ กลับบ้าน
เหมือนทุกๆปี


วันที่ 28 ธันวาคม
ฉันต้องตื่นแต่เช้ามากๆ
ไปถึงสุวรรณภูมิตีสี่
ดูเหมือนว่ามันยังเป็นสุวรรณภูมิภาคกลางคืน

แล้วฉันก็ถึงปลายทางตอน 8 โมงเช้า
ตรงกลับบ้าน

แล้วเหมือนวันเวลาของฉันก็หายไป

รู้ตัวอีกทีวันที่ 3 มกราคม
ฉันถึงสนามบินประมาณ 3 ทุ่ม
เพื่อรอเครื่องที่ถูกเปลี่ยนเวลาจากสามทุ่มครึ่ง
เป็นห้าทุ่มครึ่ง

และก็เหมือนทุกๆครั้งที่ฉันเดินทางด้วยเครื่องบิน
ฉันต้องเจอคนรู้จัก

ปี 2550 เริ่มต้นวันที่ 4 มกราคม
กลางวันสะสางงาน
ตกเย็นสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
ตระเวนกินอาหารตามที่โน้นที่นี่
วงจรชีวิตคล้ายๆกันในทุกๆวัน

ดูเหมือนว่าปีใหม่ปีนี้
อารมณ์ประมาณปีใหม่ที่เกิดสึนามิ
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยแน่ใจว่าปีที่จะถึง
มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ในวันข้างหน้าที่จะมาถึง
ฉันเพียงแต่เตือนตัวเองเสมอๆ
ชีวิตไม่จำเป็นต้องแห้งเหี่ยว
แต่ก็ไม่ต้องถึงกับสุรุ่ยสุร่าย
ใช้ชีวิตอย่างระวัง รู้ให้เท่าทันตัวเอง
หาจุดพอเพียงของตัวเองให้เจอ
แล้วก็ยึดจุดนั้นใว้

เหลือจากนั้น
อะไรจะเกิด
ก็ต้องเจอ



ปล.

สิ่งหนึ่งที่ฉันกะลังตั้งใจจะทำ
แต่ยังไม่ได้สำเร็จซะที
คือการเขียนโปสการ์ดไปสวัสดีเพื่อนๆ
ฉันเริ่มด้วยการซื้อแสตมป์มายี่สิบดวง
กะลังทยอยเลือกรูปที่จะไปอัด
แล้วทำโปสการ์ดเอง เขียนถึงมิตรสหาย

หวังว่าปีนี้จะทำสำเร็จ