Tuesday, January 31, 2006

จิปาถะ 09

จิปาถะ 901 : อาชีพ

นั่งทำงานการกุศล
เสร็จเกือบเช้า
เข้านอนไปหนึ่งชั่วโมง
ต้องรีบตื่นไปพรินท์เตรียมส่ง

ไม่เหนื่อย ไม่ง่วง
มันมีแต่ความอิ่มเอมที่ทำงานเสร็จ
เป็นความอิ่มเอมที่แฝงความกังวล
กลัวงานที่ออกมาจะไม่ดี
แต่ถึงจะกังวลก็ยังมีความภูมิใจ

มีใครสักคนพูดว่า
ถ้าเรางานอะไรเสร็จแล้วเรารู้สึกภูมิใจกับมัน
เรากำลังมาถูกทางแล้ว

หรือว่า ข้าพเจ้าก็เหมาะกับอาชีพนี้จริงๆ

ยังไม่แน่ใจหรอกนะ





จิปาถะ 902 : ละคร

เวลาข้าพเจ้าดูละครแล้วรู้สึกว่าทำไม ตัวละคร ทำอะไรไม่ค่อยฉลาด
ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า (นี่เป็นบันทึกข้าพเจ้า ก็ต้องเป็นข้าพเจ้าคิดเองแหละนะ)
นอกจากเหตุผลโง่ๆ ว่า คนเขียนต้องการให้คนดูสังเกตุเห็น
อีกเหตุผล คือ คนเขียนไม่มีปัญญาเขียนให้ฉลาดกว่านั้น

สมัยสังคมต้องการนักปราชญ์
นักคิด นักเขียน มักจะเป็นคนฉลาดที่สุด
ตัวละครแต่ละตัวในสมัยโบราณจึงมีมิติ ฉลาด ลุ่มลึก

ต่อมาสังคมเปลี่ยนไป
คนที่ฉลาดที่สุด มักเลือกเป็นอย่าง
อย่างอื่นที่ไม่ใช่นักเขียน
เหลือเพียงคนที่เก่งในการบรรยายอารมณ์
ออกมาทำงานเขียน
เพราะฉะนั้น ตัวละครจึงมีแต่อารณ์ ไร้เหตุผล
ชอบทำอะไรโง่ๆ จึงไม่มีเสน่ห์ให้น่าจดจำ


ในยุคหลังๆ เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง
เพราะสังคมมีความหลากหลายมากขึ้น
คนฉลาดก็ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างเดียวกันหมด

บางคนฉลาด เลือกเป็นนายก
บางคนฉลาด เลือกเป็นพ่อค้า
บางคนฉลาด เลือกทำงานด้านการเงิน
บางคนฉลาด เลือกเล่นหุ้น
บางคนฉลาด เลือกเป็นดารา นักร้อง
บางคนฉลาด เลือกทำภาพยนตร์
และ บางคนฉลาดเลือกเป็นนักเขียน

แต่ มันยังเป็นแค่ บางคน มันน้อยเกินไป
ผลของมันจึงยังไม่ได้ชัดเจนนัก

คงต้องรอกันต่อไป





จิปาถะ 903 : ความดี


คิดดี พูดดี ทำดี
ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเป็นคนดี


ประโยคข้างต้น เป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่
เป็นความเชื่อที่ยังคงเป็นแค่ความเชื่อ
เป็นความเชื่อที่ยังไม่ค่อยมีใครปฏิบัติได้จริง


คิดดี พูดดี ทำดี
ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเป็นคนดี
และถือว่าเป็นคนดีระดับต่ำสุด

นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็ก

เพราะแค่ คิดดี ทำดี พูดดี
ทุกอย่างมันยังจบที่ตัวเรา
เป็นปัจเจกมากๆ
เข้าทำนอง ตรูเป็นคนดีเฟ้ย
แต่เรื่องชองคนอื่น ช่างมัน
ธุระ ไม่ใช่ (คนตรู)

ระดับความดีขั้นต่อมาคือ
เตือนเมื่อเห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ไม่ดี
ขั้นนี้ทำยากมากขึ้น
ใช้ความกล้าหาญมากขึ้น

สำหรับระดับความดีขั้นกว่าอีกขั้นคือ
การชักชวนคนอื่นให้กระทำความดี
อาจจะฟังเหมือนขั้นที่แล้ว
แต่ขั้นนี้ล้ำลึก และยากกว่ามากนัก


สำหรับข้าพเจ้า
ก็เป็นเหมือนคนทั่วไป
ยังพยายามเป็นขั้นที่หนึ่งเท่านั้น



จิปาถะ 904 : โลกกลมหรือโลกแคบ

ถ้าเราสองคน
เลือกจะเดินในทิศทางที่ตรงข้ามกัน
วันหนึ่งในอนาคต อีกหลายๆปี
เราอาจจะหมุนวนมาเจอกัน
เพราะโลกนี้มันกลม
และจุดหมายของเราทั้งสอง
มันอยู่ ณ.จุดเดียวกัน

แต่สงสัยว่าโลกนี้มันกลม
หรือโลกนี้มันแคบกันแน่
เราทั้งสองจึงกลับมาเจอกัน
ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้

ฉันเริ่มสงสัยว่า
หรือเพียงแค่เราหันหลังกลับไปมอง
เราก็จะเจอกัน
อาจเป็นเพราะเราทั้งสองยังยืนอยู่ที่เดิม
เราไม่เคยจะออกเดินทางไปไหนต่างหาก



จิปาถะ 905 : โฆษณา

เห็นโฆษณาชุด L'Amourของโนเกียในรถไฟฟ้า
ทำให้นึกถึงงานของฟ้า ที่เคยแสดงมาก่อนหน้านี้

งานชุดนี้เป็นโปสเตอร์ รูปวาดสวยๆ
พร้อมกับคำพูดที่น่าสนใจของบุคคลสำคัญ

พยายามหาตัวอย่างมาประกอบ
แต่ก็ไม่สำเร็จ

เดี่ยวนี้ โฆษณามีอิทธิพลมากกว่าละคร หรือหนังเยอะ
จึงไม่ต้องแปลกใจที่มีโฆษณาที่ดีมาก
และโฆษณาที่เอาแต่ได้อย่างเดียว

โฆษณาเหล้า มักเสนอประเด็นสำนึกต่อสังคม
โฆษณามอเตอร์โซน์ ไม่น่าจะมีลูกค้าบนรถไฟฟ้า

โฆษณาสถาบันสอนภาษาอังกฤษเขียนว่า
LAenglish Locations at Pleanchit and Chidlom.

ตกลง Locations เป็นกริยาได้เหรอ
งง

Friday, January 27, 2006

Variety 8

อยากแปล จิปาถะว่า Variety


จิปาถะ 801 : หนังไทย



กลางวงสนทนาประเด็นหนังไทย
ข้าพเจ้าโพล่งออกไปว่า องค์บาก ห่วยโคตรโคตร
แม้ความหมายมันไม่ได้รุนแรงเท่ากับน้ำหนักของคำ
แต่ก็หมายความตามนั้น

มีคำถามย้อนกับมา
ตกลงหนังไทยเรื่อล่าสุดที่ชอบคือเรื่องอะไร
คำถามง่ายๆ
ที่ใช้เวคาคิดนาน นานจนไม่มีใครอยากฟังคำตอบ
เพราะวงสนทนาก็ดำเนินผ่านไปแล้ว

แล้วหนังไทยเรื่องล่าสุดที่ชอบคืออะไร

วัยอลวน 4 คือเรื่องล่าสุดที่เช่า แต่ไม่ได้ดู
มหาลัยเหมืองแร่ คือเรื่องที่จำได้ว่าเช่ามาดู แต่ยังไม่ชอบ
.
.
.
หมานคร เช่ามาดูเช่นกัน แล้วก็ชอบ แต่นานแล้ว

ไม่อยากเชื่อว่าคำตอบคือหมานคร
เพราะรู้สึกว่ามันนานมากแล้ว

ตกลง ที่ผ่านมาดูหนังไทยกี่เรื่องกันเนี่ย
แล้วหนังไทยเรื่องล่าสุดที่เข้าไปดูในโรงคือเรื่องไหน

สองคำถามนี้ ไม่มีใครอยากรู้
เลยไม่อยากคิด






จิปาถะ 802 : วัยอันควร





วัยอันควร

คำนี้น่าสนใจ
นึกขึ้นมาทีไร จะมีคำตามมาอีกเยอะ

สังขารไม่อำนวย
โตแล้ว
ยังเด็กอยู่
เดี่ยวค่อยทำตอนแก่
รอให้โตกว่านี้
อายุยังไม่ถึง
อายุเกิน
ไม่ดูวัย


วัยอันควร
คำ คำนี้มันมีจริงหรือไม่

ตอนเด็กเราควรจะขยันเรียน - ถ้าไม่ ?
ถึงอายุที่ต้องจบมหาลัย - ถ้าไม่ ?
วัยสมควรจะแต่งงาน - ถ้าไม่ ?
เพศสัมพันธฺก่อนวัยอันควร - ถ้าไม่ ?
เด็กยังไม่ควรเที่ยวสถานบันเทิง - ถ้าไม่ ?
ผู้ใหญ่ควรมีความรับผิดชอบ - ถ้าไม่ ?
คนแก่ควรเข้าวัดฟังธรรม - ถ้าไม่ ?

มีเรื่องราวมากมายที่เราถูกบังคับให้ทำ
มีเรื่องราวมากมายที่เราตัดสินคนรอบๆข้าง
มีเรื่องราวมากมายที่เรากลับไปทำอีกไม่ได้

ฉะนั้น
วัยอันควร ก็มีอยู่จริง
ในแต่ละขวบวัย
สิ่งที่เราทำได้ ควรทำ ต้องทำ ห้ามทำ
จะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ

แม้จะมีแนวโน้มไปทางความเชื่อแบบนี้
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สีกว่า
ชีวิตมันไม่น่าจะมีกรอบขนาดนั้น

แต่ก็อีกนั่นแหละ
ข้อโต้แย้งดีๆ
ยังหาไม่ได้







จิปาถะ 803 : มัธยม



บนรถไฟฟ้า
นาฏกรรม ละครชีวิต ของชาวเมืองดำเนินไป
วันหมุนเป็นเดือน เคลื่อนเป็นปี หลายสิ่งเปลี่ยนไป

เดี่ยวนี้เด็กมัธยม พกพาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค กลายเป็นเรื่องปกติ

คนแก่ที่หมุนตามไม่ทัน
แต่ชอบจินตนาการเอาเอง
สงสัย

มันต้องเอาไปทำอะไรกันฟะ
รีบจริงจังกับชีวิตตั้งแต่อายุเท่านี้

คงไม่ได้แก่ตายตามวัยอันควรแน่ๆ






* * * * * * * * * * * *

ตั้งใจจะเขียนอีกหลายเรื่อง แต่ขี้เกียจแล้ว

อาชีพ
ละคร
ความดี
โลกกลมหรือโลกแคบ
โฆษณา

ใว้ต่อตอนหน้าดีก๋า


เออ มีใครอยากเดาไม๊ว่า
แต่ละหัวข้อที่ตั้งใว้
มันจะเขียนอะไร

เป็นคนอื่นไม่รู้
แต่ถ้าเป็นข้าพเจ้า
มันก็จินตนาการไปก่อนเสมอ

Thursday, January 26, 2006

จิปาถะ 07

Rotiboy

คนต่อคิวซื้อขนมยาวมาก
รุ่นพี่บอกว่ารออย่างต่ำชั่วโมงครึ่ง

ทุกคนกำลังต่อคิวเพื่ออะไรกันแน่
อยากลองขนมใหม่ๆ
ติดใจในรสชาดของขนม
หรือ ไม่อยากตกขบวนความทันสมัย

แล้ว เขาทำงานกันกี่โมงเนี่ย


ขายหุ้น


72,000,000,000 บาท
คือตัวเลขประมาณที่ท่านนายกขายหุ้นได้
แค่เขียนตัวเลขยังรู้สึกว่าเยอะ
ถ้าเป็นเงินจริงๆ ไม่รู้จะเยอะขนาดไหน

สมมุติว่าถูกหวยงวดละ 100,000,000 บาท
ถูกติดต่อกันทุกงวดก็ประมาณ 720 งวด
นั่นคือต้องใช้เวลา 360 เดือน หรือ 30 ปี

คน คนหนึ่ง
ถูกรางวัลที่หนึ่งทุกงวดติดต่อกันสามสิบปี

พลอตเรื่องนี้มันยิ่งกว่าความมหัศจรรย์เลยนะเนี่ย

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด
ข้าพเจ้าไม่รู้สึกอะไร

แต่ข้าพเจ้ากำลังกลัว
กติกาใหม่ของสังคม ที่ทุกคนเต็มใจยอมรับ
คนมีอำนาจ หมายถึงคนรวย
และเป็นคนที่ไม่มีวันทำอะไรผิด
ดังนั้นทุกคนจึงแสวงหาอำนาจ
เพราะต้องการรวย และอยากเป็นคนไม่มีวันผิด



คู่รัก


อะไรทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
ตัดสินใจอยู่กินกับผู้ชายคนหนึ่ง
โดยที่ยังไม่มีกติกาที่เรียกว่าการแต่งงาน
หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากผู้ใหญ่

ในส่วนตัวนั้น
การแต่งก่อนอยู่หรืออยู่ก่อนแต่ง
ไม่ได้มีนัยยะสำคัญมากมายนัก
ในกรอบของผู้ชาย

แต่สำหรับผู้หญิง
ข้าพเจ้าก็นึกเอาเองว่า
มันน่าจะต่างกัน

ถ้าหากผู้หญิงคนนั้น(รวมถึงผู้ชายด้วย)
ยังไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้
ข้าพเจ้าก็ตัดสินได้เลยว่า ผิด
ไม่ต้องมีใครมาร้องบอกเหตุผลใดๆ

แต่ถ้าทั้งสองคนนั้น
บรรลุนิยิภาวะของการเลี้ยงดูตัวเอง
ข้าพเจ้าจึงได้แต่สงสัย
และคิดไปเองเรื่อยๆ


i-pod


ยังตัดสินใจไม่ได้
ว่าจะซื้อมาเป็นเจ้าของ หรือ ตัดใจ

ข้าพเจ้าอยากได้ อยากมี เพราะอยากฟังเพลง
แต่ หากเป็นเจ้าของแล้ว จะได้ใช้ตอนไหน
นี่คือ ข้อโต้แย้ง

จากที่พักถึงที่ทำงาน
ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชัวโมง
เป็นครึ่งชัวโมงที่ไม่ต้องรออะไร

หากฟังตอนนี้
ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้ยินเสียงสิ่งแวดล้อม

ในตอนกลับก็ไม่ต่างกัน

ดังนั้น
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่ได้ว่า
ควรซื้อ หรือควรตัดใจ


จับมือ


ข้าพเจ้าสงสัย
ทำไมคู่รักต้องเดินจับมือกัน

นี่ไม่ใช่สนามเดินเล่น
นี่ไม่ใช่ชายหาด
และนี่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า

มันคือทางเท้า

ทางเท้าที่โดนยึดพื้นที่ไปเกือบหมดด้วยร้านค้า
ส่วนที่เหลือก็ถูกยึดโดยลูกค้า

ที่ว่างอันน้อยนิดก็ต้องแย่งกับมอเตอร์ไซด์

อยากบอกว่า
ถ้าเอ็งสองคน
เลิกจับมือกันสักครู่
คงไม่มีใครกล่าวหาว่า
เอ็งไม่รักกันหรอกนะ

นอกจากเอ็งจะรักกันสองคนแล้ว
กรุณาเหลือความรักใว้ให้เพื่อนร่วมโลกบ้าง

Tuesday, January 24, 2006

ดื้อยา



แพงจังเลย (๘๕ บาท)
คือ ความรู้สึกแรกที่หยิบนิตยสารเล่มนี้ขึ้นมา
แต่ก็ตัดสินใจซื้อ ด้วยหลายเหตุผล

หนึ่ง เป็นแผงขายหนังสือข้างทาง ไม่กล้าเปิด แล้วยืนอ่าน
สอง สายรายงานมาว่า พี่โอ๊ทส์เป็นบอกอ ข้าพเจ้าชอบงานเขียนแบบพี่โอ๊ทส์ก็เลยอยากลอง
สาม อยากรู้พี่จ่าแจ๋วจะมีส่วนร่วมแค่ไหน อยากเห็นงานของเจ๊
สี่ ....นึกไม่ออกแล้ว

เมื่อได้มาครอบครอง
เปิดผ่านๆรอบแรก
ยังไม่มีคอลัมน์ไหนสะดุดตา
ก่อนนอนก็เปิดอ่านนิดหน่อย

อ่านบทสัมภาษณ์ป๊อด
อุปทานไปเองว่าเป็นน้ำเสียงจ่า
เพราะความจำอันเลือนลางบอกว่า
ในวงสนทนาจ่ามักมีน้ำเสียงและวิธีการถามแบบนี้
แต่อีกทีก็เดาว่า อาจไม่ใช่จ่าหรอก
คงเป็นพี่โอ๊ทส์นั่นแหละ

ถือว่าบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ

อ่านคอลัมน์จองโจ้ - สารไม่ออกฤทธิ์
ดูคอลัมน์ของวินทร์ - สารไม่ออกฤทธิ์
ดูคอลัมน์พี่โน้ส - สารไม่ออกฤทธิ์

คอลัมน์ ดวนหมอดู - ไม่ยอมรับสารแบบนี้
คอลัมน์อื่นๆ จำไม่ได้ - สารยังไม่ออกฤทธิ์

เดี่ยวค่อยกลับไม่ลองอ่านใหม่
แล้วจะให้โอกาสเล่มสองอีกที

สายรายงานว่า
สัมภาษเฮียเซอร์ไพร์ของเธอ


ปล.
นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติม

http://www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000003623

Monday, January 23, 2006

พักร้อน

วันพุธ

หลังจากท่านเหลี่ยม
เชิญท่านทูตมาฟังนิทานเรื่องรถไฟฟ้ามหาสนุก ในภาคแรก
ท่านเหลี่ยมก็จะเปิดตัวนิทานเรื่องดังกล่าวในภาคสอง
ภาคนี้เนื้อหาก็เหมือนเดิม
เพียงแค่เปลี่ยนปกนิดหน่อย

พวกข้าพเจ้าก็ต้องเข้าไปเตรียมนิทานดังกล่าวให้
เข้าไปทำงานที่หน่วยราชการตอนเช้า
เครื่องมือ เครื่องใช้ไม่มี
จึงต้องหอบงานกลับมาทำที่ออฟฟิศ

ทำจนดึก เพราะนิทานที่แต่งใว้มันมีหลายพลอตจนเกินไป
กลับถึงห้อง นั่งทำงานต่อจนตีสอง


วันพฤหัส



เข้าไปที่หน่วยราชการอีกครั้ง
วันนี้เข้ากันไปเยอะ
ทั้งเจ้านาย หัวหน้า ลูกพี่
นั่งทำงานไปเรื่อยๆ
ช่วยกันแต่งนิยาย

เลิกงานธรรมดา
แต่ถึงที่พักก่อนพระอาทิตย์ตก
นึกไม่ออกว่าควรจะทำอะไรดี


วันศุกร์


ไปซื้อของเพื่อเตรียมทำเอกสารประกอบนิทาน
เน้นสวยงาม ตามนิทานในท้องเรื่อง
เพิ่งรู้ว่า Office depot ของเยอะมากๆ
ไม่น่าเชื่อว่า คนเราต้องใช้อุปกรณ์กันเยอะขนาดนี้


วันเสาร์


นิทานยังไม่เสร็จ
ทั้งภาคที่เป็นเวป และภาคที่เป็นเล่ม
เข้าไปนั่งทำกันต่อ

ตกบ่ายงานยังไม่เสร็จ
แต่ทุกคนขี้เกียจ ก็เลยเลิก
ที่ผ่านร้านวีดีโอเช่าหนังมาดู
ผ่านร้านการ์ตูนก็เช่ามาอ่าน

อ่านการ์ตูนก่อน เดธ โน้ต เล่ม 7
การ์ตูนที่มีชื่อเสียงมาก
นี่คือวิวัฒนาการล่าสุดของการ์ตูนยุคใหม่
พระเอก ฉลาดมาก เล่นกีฬาเก่งมาก หล่อมาก
แฟนสวยมาก น้องสาวก็สวยมาก
พ่อเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ
คุณสมบัติพร้อมทุกด้าน
และก็ เลวมาก ขอเน้น เลวมาก
การ์ตูนเรื่องนี้ หากคุณระเบียบรัตน์ได้อ่าน
ต้องห้ามพิมพ์ขายแน่ๆ

แล้วคนดีๆ ที่เป็นคนดี ก็ค่อยๆ ทยอยตายไปเรื่อยๆ
เหลือแต่คนเลวๆ อย่างพระเอก ที่อยู่ยั้งยืนยง

เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับ 20 century boys
ที่คนชั่วเท่านั้นที่จะรอด

ฟังดูเลวร้ายเนอะ

ไม่มีแล้วยุคฮีโร่ ที่แสนดี อย่าง ซุปเปอร์แมน
ขนาดแบตแมน ยังแพ้ความจนเลย

เสร็จแล็วดก็ดูหนังที่เช่ามา

sex and the city season 1
เหมือนนั่งอ่านคอลัมน์ ตามนิตยสาร


วันอาทิตย์


หลับไปตอนไหนไม่รู้
รู้ตัวอีกที เกือบเที่ยง
กินข้าว แล้วก็มาดูหนังต่อ
หลังจากจบ สี่สาวชาวนิวยอร์ก
ก็ตามด้วย star wars
ภาคสอง และภาคสาม
หนังสนุกมาก ชอบจังเลย
งานออกแบบเท่ห์มากๆ
เดี่ยวไปซื้อมาเก็บทั้งหกภาค
เก็บใว้ให้ลูกดู

เก็บใว้ให้ลูกดู
ชอบนึกแบบนี้ แต่พอได้สติก็จำได้ว่า
ตรูไม่เคยคิดจะมีลูกนี่หว่า


วันจันทร์


เข้าออฟฟิศตามเดิม
ความรู้สึกเหมือนหายไปจากออฟฟิศนานมาก
เหมือนจู่ๆ ข้าพเจ้าก็หยุดพักร้อน

Tuesday, January 17, 2006

มิตรภาพในวันวาน จะยังเหมือนเดิมไหม

กรรมการผู้จัดการบริษัท ความหมายง่ายๆ คือเจ้านายนั่นแหละ
เอารายชื่อพร้อมรายละเอียดของเพื่อนร่วมรุ่นมาให้ช่วยลงทะเบียน
ในรายชื่อดังกล่าวนั้นมีแต่ ตำแหน่งใหญ่ตำแหน่งโตทั้งนั้น อาทิ

หัวหน้าฝ่าย
ผู้จัดการ
ผู้จัดการฝ่าย
กรรมการผู้จัดการ
ประธานกรรมการ
รองกรรมการผู้จัดการ
รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ
ผู้ช่วยผู้ว่าการ
ผู้อำนวยการฝ่าย
ผู้อำนวยการโครงการ
ผู้อำนวยการสำนัก
ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป
ผู้อำนวยการกอง
รองกรรมการผู้จัดการ
รองอธิบดี
ประธานบริษัท

หลายๆคนในนั้นข้าพเจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน
บางคนเป็นอาจารย์ข้าพเจ้า บางคนถูกพูดถึงบ่อยจากการงาน
บางคนถูกพูดถึงบ่อยจากข่าวสารทั่วไป

ลองเดาดูสิว่า สองหนุ่มนี้คือใคร
รับรองว่าใหญ่มากกก ทั้งสองคน








ระหว่างที่นั่งลงทะเบียนข้าพเจ้าก็เกิดความสงสัยไปว่า
นอกจากตำแหน่งอาชีพการงานที่เจริญเติบโตขึ้นตามวัย
หน้าตาที่เปลี่ยนไปจนต้องมีรูปสมัยวัยเยาว์ให้ทวนความจำ
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของแต่ละคนคงเปลี่ยนไป

แล้วมิตรภาพในวันวาน จะยังเหมือนเดิมไหม



ขนาดข้าพเจ้าเองยังไม่ได้สูงวัยเยี่ยงท่านๆ
ข้าพเจ้ายังรู้สึกระแวงกับทุกความสัมพันธ์

อย่างวันก่อน ก่อนปีใหม่
ข้าพเจ้ากำลังนั่งรอเครื่องบินออกจากกทมเพื่อกลับบ้าน
โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์ที่ปรากฏเจ้ามือถือก็ไม่รู้จักชื่อ
เลยรายงานออกมาเป็นตัวเลข

"สวัสดี เรา.... เพื่อน...รุ่นเดียวกัน จำเราได้ไหม"
"จำได้" โกหกหน้าซื่อๆมาก เพราะยังนึกหน้าไม่ออกเลย
"จริงเหรอ นึกว่าจะจำไม่ได้"
"จำได้สิ" คงยังโก ไปเรื่อย เป็นโกเจ็ดและโกแปด
"เราเห็นชื่อนายที่ไปอบรม... แต่เบอร์มือถือผิด เราจึงโทรไปที่เบอร์บ้าน
พ่อนายคงรับสาย แล้วให้เบอร์มือถือมานะ"
"เหรอ มีอะไรละ" นึกใจว่า พ่อตรูตายไปสิบปีแล้วเฟ้ย

หลังจากนั้นก็จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกัน
แต่ข้าพเจ้ามีแต่ภาพแอมเวย์ หรือธุรกิจขายตรงในหัว

และหลังจากวันนั้น เจ้ามือถือก็รู้จักว่านี่เบอร์ใคร
เจ้าของมันก็เลยไม่เคยรับสายอีกเลย

ผ่านไปพอสมควรก็เลยไปเปิดหนังสือรุ่นดูว่า
คนชื่อนี้มันหน้าตายังไง ก็ถึงบ้างอ้อ
ตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันสี่ปี
เรา หมายถึง ตรูกับมรึงงงงงง ไม่เคยคุยกันสักคำ
แล้วตอนนี้จะมาชวนไปกินข้าว
ตรูไม่ใว้ใจหรอกกกกกกก

สำหรับข้าพเจ้า
มิตรภาพในวันวานมันหล่นหายไปซะเยอะ
วันนี้จึงจะพยายามรักษาที่ยังมีอยู่น้อยนิด
แม้จะทำได้บ้างไม่ได้
แต่ก็ยังทำต่อไป




























เฉลยรูปข้างบน
คนใส่แว่นคือ อนันต์ อัสวโภคิน ประธาน บมจ. แลนด์ แอน เฮ้าส์




อีกคนคือ บุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหาร แห่ง บจก ชิน คอร์ปอเรชัน

Monday, January 16, 2006

คืนวันเสาร์ เย็นวันอาทิตย์ เช้าวันจันทร์

คืนวันเสาร์


สองทุ่ม
เริ่มล้มตัวลงนอน
ไม่มีเหตุผลอะไรมาก
แค่ขี้เกียจทำงาน

ประมาณสามทุ่มพี่สาวโทรมา
บอกว่าจองรถแล้ว ราคา 76 บาท
อยากวางเงินดาวน์สัก 32 บาท
แต่ตอนนี้มีเงินอยู่แค่ 26 บาท
บอกพี่สาวไปว่าให้วางดาวน์ 42 บาท
เดี่ยวจะโอนไปให้ 20 บาท
ส่วนเงินของพี่สาวที่เหลือก็ให้เก็บใว้
แก่แล้วต้องมีเงินเก็บบ้าง
ประโยคนี้คิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป

วางหู นอนไม่หลับ
เปิดไฟ เปิดสมุดบัญชี
ปรากฏว่าไม่ได้อัพเดทสมุดมาหลายเดือน
ไม่แน่ใจว่าเงินมีอยู่กี่บาท

เปิดเพลงฟัง ปิดไฟอีกที
แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ข้าพเจ้าเป็นคนเห็นแก่ตัว
ข้าพเจ้าเชื่อแบบนั้น

ข้าพเจ้าเป็นคนใจดี
ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างนั้น

สองอย่างนี้มันไม่น่าจะเข้ากัน
แต่มันประกอบขึ้นเป็นตัวข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการซื้อรถ
เงิน 76 บาทจ่ายไปวันนี้ จะทยอยหมดค่าลงไปทุกวัน
ค่าเดินทางที่พี่สาวต้องจ่ายเพื่อไปทำงาน
อาจจะพอๆกับค่าน้ำมันที่พี่สาวต้องจ่าย หากใช้รถ

ข้าพเจ้ายังพูดต่อไปอีกว่า
เอา 76 บาทมาใช้จ่าย
โดยหารเป็นเงินเดือนข้าราชการแบบพี่สาว
ก็จะเท่ากับอายุราชการที่เหลือ
เพราะฉะนั้นเมื่อบวกลบผลสุดท้ายคือศูนย์
กิจการนี้ไม่น่าลงทุน

พี่สาวยังบอกอีกว่าจำเป็นต้องมีรถ
เพราะว่าแม่ต้องไปโรงพยาบาล ทุกเดือน
ข้าพเจ้าแย้งว่า แล้วรถสามคันที่จอดอยู่ที่บ้านนั่นละ
หนึ่งเก๋งของพี่สะใภ้
สี่ประตูหนึ่งคันของพี่ชาย
ไอ้เทารถโบราณประจำ (วันนั้นยังอยู่ วันนี้ถูกขายไปแล้ว)

ทุกความคิดที่ข้าพเจ้าแย้งไป
ไม่มีใครจะคล้อยตาม
เพราะข้าพเจ้าในสายตาของพี่ๆคือ
ไอ้มนุษย์ดึกดำบรรพ์ผู้ขวางโลก

แต่ถึงจะไม่เห็นด้วย ยังไง
ข้าพเจ้าก็ยังยินดีตามใจบรรดาพี่ๆ
ไม่มีเหตุผลอะไรมาก

เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเอาแต่ใจ
และข้าพเจ้าเองก็ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก
ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบขัดใจใคร
เหตุผลง่ายๆ โง่ๆ งี่เง่า
แต่มันจริงใจที่สุดเท่าที่จะพูดออกมาได้


เย็นวันอาทิตย์



กว่าจะตื่นนอนก็เกือบจะเก้าโมง
ลงไปทานข้าว แล้วก็กลับขึ้นมาอาบน้ำ
ความขี้เกียจทำงานยังไม่ทุเลา
เลยเก็บกระเป๋าไปออกกำลังกาย

เสร็จจากการออกกำลังกายบ่ายสอง
แวะสยามตั้งใจว่าถ้ามีหนังใหม่น่าสนใจก็จะดู
ปรากฏว่าเวลาไม่อำนวย
เลยตรงไปร้านหนังสือคิโนะที่สยามพารากอน
เดินหาหนังสือที่ต้องการ เดินวนสามรอบ
ไม่ปรากฏมุมหนังสือท่องเที่ยว
เลยเปลี่ยนร้าน

ระหว่างทาง เกิดอาการหิว
เลยวนไปดูร้านขนมปังเปิดใหม่จากสิงคโปร์
เบลดทอร์ค ไลท์ชีสเค้ก ราคา 260 บาท มีคนบอกว่าอร่อย
สนใจอยากลองมาก แต่ต้องอดใจใว้ก่อน
เพราะเดี่ยวมีนัดทานอาหารเวียดนาม

เดินไปร้านซีเอ็ดที่สยาม
ตรงไปหาหนังสือที่ต้องการ
ไม่ปรากฏ

ร้านสุดท้ายที่มักเจอหนังสือที่อยากได้เสมอๆ
บุ๊คคลับที่สยามดิส
และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เจอหนังสือที่ตามหา
ก็เลยได้หนังสือเล่มอื่นมาด้วย

พี่เพลงดาบออกหนังสือเล่มใหม่
แนะนำเรื่องท่องเที่ยวอินเดีย เนปาล
ของสำนักพิมพ์วงกลมแค่สนใจแต่ยังไม่ซื้อ

พี่เจี๊ยบ วรรธนา ออกหนังสือเล่มใหม่
เพลงแบบประภาส สำนักพิมพ์เวิร์คพอย
น่าสนใจ แต่ยังไม่ซื้อ

พี่บินหลา ออกหนังสือนิยาย
อยากอ่าน แต่ยังไม่อยากซื้อ

หนังสือที่ได้ติดมือมาคือ
แบกเป้เที่ยวเนปาล
หัวใช้เท้า ของ วชิรา
ห้าแคนโต้ ชุดที่สอง

กลับมาถึงห้องสี่โมง
นัดเพื่อนที่เวิร์ลเทรด 5โมงครึ่ง
ระหว่างรอ
หลับ

ห้าโมงครึ่ง เจอเพื่อน
และไปถึงร้านอาหารเวียดนามแถวพระรามเก้าตามเวลานัด
ไม่ปรากฏสมาชิกคนอื่นๆ
เราเลยสั่งอาหารทานกันไปก่อน
รสชาดอาหารไม่ค่อยน่าประทับใจ

ผ่านอาหารไปหลายจาน
เพื่อนๆก็เริ่มทยอยกันมา
น้องดีคนอ่านข่าวมาเป็นคนแรก
ต่อด้วยน้องปอที่รีบมาและรีบไป เสมอ
ตามมาด้วยคู่สามีภรรยาและลูกชาย และลูกอีกหนึ่งในท้อง
ท้ายที่สุดคู่สามีภรรยาอีกคู่ที่มาช้ามาก
มาพร้อมกับรูปถ่ายในงานแต่งงาน
รูปถ่ายเยอะมาก ดูกันจนเหนื่อย
ดูไปวิจารณ์ไป ตามประสาคนปากปีจอ

งานสังสรรค์เลิกราตอนสองทุ่มครึ่ง
กลับถึงที่พัก อาบน้ำ นอน
ตั้งใจว่าเที่ยงคืนจะตื่นมาทำงาน
เพราะวันจันทร์ต้องส่ง



เช้าวันจันทร์


ตื่นนอนตอนใกล้แปดโมง
อยากลาป่วย
เพราะงานไม่เสร็จ
ไม่ช่ายแค่ไม่เสร็จ
ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำเลยต่างหาก

นอนตัดสินใจจนแปดโมง
ก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ
แล้วก็ไปเผชิญหน้ากับความจริง

ถึงที่ทำงานแปดโมงสี่สิบห้า
แทนที่จะเริ่มทำงาน
กลับนั่งเล่นเนตซะงั้น
ดูรูปบรรดาพี่ๆเพื่อนๆที่ไปเที่ยวตอนปีใหม่
ดูแล้วก็เกิดกิเลส
เลยเพ้อ นั่งวางแผนเที่ยว
ซึ่งก็วางแผนอยู่ทุกวันนั่นแหละ

เดี่ยวตอนเที่ยงต้องไปธนาคาร

ตอนบ่ายค่อยเริ่มทำงานก็แล้วกัน
เนอะ (เนอะกับสำนึกฝ่ายดี)

โอ้ พระเจ้า
เกิดเป็นมนุษย์ขี้เกียจเนี่ย
แก้ไขยังไงดีละท่าน

Saturday, January 14, 2006

ที่ลับ

ตอนที่หนุ่มสาวคู่ที่กำลังเป็นข่าวทำเรื่องดังกล่าว
เขาและเธอ คิดและมั่นใจแค่ไหน
ว่าเรื่องในที่ลับของเขาและเธอ
จะยังคงความเป็นเรื่องในที่ลับตลอดกาล

ความลับไม่มีในโลก
เธอและเขาคงไม่รู้จักประโยคนี้
เธอและเขาคงไม่คาดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้

เมื่อเรื่องในที่ลับของเขาและเธอ
กลายเป็นเรื่องในที่แจ้งบนหน้าหนังสือพิมพ์
ปัญหาที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
ไม่อยากจะเดาแม้ไม่ยากเกินจะเดา
หรือว่านี่คือการควบคุมกันและกัน
เรื่องในที่แจ้งควบคุมเรื่องในที่ลับ

นี่คงไม่ได้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายของเรื่องทำนองนี้
ถ้าคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า
เรื่องในที่ลับหมายถึงเรื่องอะไรก็ได้ที่ไร้กฏ ไร้เกณฑ์ไดๆ
เรื่องในที่ลับหมายถึงการปลดปล่อยพฤติกรรมในด้านมืด
เรื่องในที่ลับก็จะหมายถึงเรื่องที่ไม่ค่อยดี

แล้วพลังอำนาจของเรื่องในที่แจ้งที่จะควบคุมเรื่องในที่ลับ
ก็คงต้องอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
เพราะคนในสังคมนี้กระหายใคร่รู้เรื่องในที่ลับของชาวบ้าน
ด้านมืดกำลังพ่ายแพ้ด้านสว่าง
ความดีกำลังหายไปจากจิตใจ

Friday, January 13, 2006

ศรัทธา

ข่าวเหตุการณ์เหยียบกันตายของผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ.นครเมกกะ
ทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นในสมอง สร้างตะกอนขึ้นในใจ

ทำไมมันจึงเกิดขึ้น ?
ทำไมต้องกำหนดให้ทุกคนต้องไปอยู่ที่นั่นในวันนั้น ?
ขอเน้นว่าทุกคนที่ไปประกอบพิธีฮัจย์จะต้องไปที่นั่นในวันนั้น
ไปเพื่อขว้างเสาหิน

มันเป็นคำถาม และตะกอนที่ไม่ควรจะมี
มันเป็นคำถาม และตะกอนของคนรู้น้อย
มันเป็นคำถาม และตะกอนของคนที่ศรัทธาอ่อนแอ

คำตอบมันจะเหมือนกันไหม
ในกรณีที่ปาเลสไตน์ยังไม่มีที่จะอยู่ แต่อิสราเอลเจริญรุ่งเรือง

คำตอบมันจะเหมือนกันไหม
ในกรณีที่อิรักย่ำแย่ แต่อเมริกาก็ยังชูคอดุจพญาอินทรีย์

คำตอบมันจะเหมือนกันไหม
ในกรณีมุสลิมในอัฟริกากำลังจะอดตาย

คำตอบมันจะเหมือนกันไหม
ในกรณีที่ภาคใต้ยังฆ่ากันดุจผักปลา

แต่เชื่อเถอะ เดี่ยววันนี้
ตอนที่ฉันไปฟังเทศนา
เขาก็ย่อมมีคำตอบดีๆ
ออกมาให้ได้ยินเสมอๆ

คำตอบที่ไม่ต่างจากคำปลอบใจ

เราทำตัวไม่ดี
เราจึงถูกลงโทษ
เรากำลังถูกทดสอบ
เราต้องอดทน
เรา...
เรา...
เรา...
และก็เรา

ความผิดทั้งหมดมันอยู่ที่เรา

ตกลงเราเริ่มผิดตั้งแต่ตอนไหนกันแน่


11.48 ศุกร์ 13

Thursday, January 12, 2006

หนึ่งความฝัน หนึ่งความหมาย

ฉันเป็นคนช่างฝัน
ช่างฝันในความหมายที่ว่า
หลับเมื่อไหร่ ฝันเมื่อนั้น

แม้ฉันจะจำไม่ได้ในทุกเรื่องราวที่ฝัน
แต่ฉันจะตื่นมาพร้อมกับความมั่นใจ
ว่าในฝันของฉันมีเธอในทุกค่ำคืน
และเป็นเธอที่เราไม่ค่อยจะเข้าใจกัน

ฉันเคยถามเธอเรื่องความฝันแบบจริงจัง
ว่าทำไมเธอถึงต้องตามฆ่าฉันในทุกค่ำคืน
ฉันหนีจนเหนื่อยเธอเข้าใจไหม
เธอได้แต่ยิ้ม ทำเหมือนฉันกำลังเพ้อเจ้อ

แต่แปลกเหมือนกัน
ที่ฉันไม่เคยถามเธอเลย
ว่าเคยฝันถึงฉันหรือเปล่า
แล้วถ้าฝันถึงบ้าง
ในฝันฉันทำร้ายเธอบ้างไหม

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
ฉันก็คงจะเสียใจ
แม้มันจะเป็นแค่ฝันก็ตามที

ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
มันนานมากจนฉันไม่แน่ใจ
หนึ่งปี สองปี หรือเมื่อไหร่
แล้วเราคุยอะไรกันบ้าง
ส่วนข่าวคราวของเธอนั้น
ก็ผ่านมาถึงฉันน้อยลงจนแทบไม่มี
แต่ฉันเชื่อว่าเธอคงสุขสบายดี

หากมีโอกาส
อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันจะบอกเธอคือ
ทุกครั้งที่ฉันขอพร
ฉันขอให้ฉันเลิกฝันถึงเธอ

ฉันไม่ชอบฝันถึงเธอ
แม้ในชีวิตจริง
ฉันก็ไม่ชอบคิดถึงเธอ

Wednesday, January 11, 2006

โปสการ์ด จากมิตรร่วมทาง



























รุ่นพี่อีกคนหนึ่ง
ร่วมเดินทางตะลอนด้วยกันหนึ่งครั้ง
จากคนไม่เคยรู้จัก
กลายเป็นคนที่ระลึกถึงกันเสมอ เสมอ

เธอยังคงส่งโปสการ์ดมาทักทาย
ทุกครั้งที่เดินทาง

นี่คือการเดินทางในรอบปีที่แล้วของเธอ

ลาว มาเก๊า สิกขิม
สิงคโปร์ เซียะเหมิน และ เพิร์ธ

ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้ไปไหนเลย
เลยไม่เคยได้ส่งโปสการ์ดถึงเธอ

Monday, January 09, 2006

บทเพลงแห่งการรอ

ทุกทุกครั้งที่ได้ยินเขาพูดกัน
ว่าฉันเลือกเธอหรือเธอเลือกฉัน
เราจึงได้รักกัน ได้คู่กัน
ฉันมักเกิดความสงสัย

เหตุใดรักคือการเลือก
หรือรักคือการแข่งขัน
ทุกคนต้องประชัน เพื่อเป็นผู้ชนะ
ฉันกลับไม่เคยเชื่ออย่างนั้น

เพราะรักของฉันคือเธอ
พบเจอกันในวันที่ฟ้ากำหนด
เพราะรักของฉันคือเธอ
คนที่ฉันค้นหาจนเจอ
เพราะรักของฉันคือเธอ
แม้ยังไม่เจอฉันก็พร้อมจะรอ


: บทเพลงแห่งการรอ




ภรรยาคนหนึ่ง เดินทางไปรับศพของสามีที่สูญเสียในเหตุการสึนามิ
เจ้าหน้าที่นำเอกสารและสัมภาระของผู้ตายมาให้
เธอปิดกระเป๋าเดินทางใบที่เธอจำได้ดี และคุ้นเคย
ข้าวของในนั้นเป็นของสามีของเธอ ส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นข้าวของ เครื่องใช้ผู้หญิง

นี่คือเรื่องจริงจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่รุ่นพี่คนหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง

สำหรับพลอตเรื่องของ April Snow ก็ไม่แตกต่างจากนี้มากนัก

พระเอกเดินทางไปเฝ้าภรรยาที่มีอาการโคม่าที่เมืองท่องเที่ยว
นางเอกเดินทางไปเฝ้าสามีที่มีอาการโคม่าที่โรงพยาบาลเดียวกัน
ภรรยาของเขา และสามีของเธอ อยู่ในรถคันเดียวกันตอนเกิดอุบิติเหตุ
ชู้ลับจึงกลายเป็นเรื่องไม่ลับอีกต่อไป
แล้วเรื่องราวของพระเอกกับนางเอกก็พัฒนาขึ้น

นี่คือผลงานของผู้กำกับเรื่อง One fine Spring day และ Chistmas in august

บทภาพยนต์เรื่องนี้เขียนได้ดีมาก
ถ้าเป็นหนังสือก็คงจะอ่านสนุกเหมือนกัน

แต่ยังไงก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่อินไปด้วยหรอกนะ
เพราะประเด็นชู้นิ มันเข้าใจยาก

บทเพลงแห่งความผูกพันธ์

ความรักความผูกพันธ์
ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้ง เกินจินตนาการ
มันคือสัญชาตญาณ
ที่ถูกส่งผ่านกาลเวลาจากรุ่นสู่รุ่น
เพื่อดำรงอยู่ในทุกเผ่าพันธุ์

เธอกับฉัน ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผูกพันธ์ ลึกซึ้ง เนินนาน
ผ่านกาลเวลา ผ่านบททดสอบ
ร้าย ดี สุข เศร้า จนถึงวันนี้
วันที่เรายังมีกันและกัน

โลกนี้จะยังสวยงามด้วยความรัก
ความรักความผู้พันธ์
จะเดินทางผ่านกาลเวลา
ตราบนิรันดร์

: บทเพลงแห่งความผูกพันธ์





กำลังพยายามเขียนเพลงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ The Emperor's Journey
สำหรับรายละเอียดไปดูที่นี้

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/marchofthepenguins/penguins.html
ตอนเริ่มต้นเขียน ห้าบรรทัดแรกนึกถึงหนังเรื่องนี้
แต่พอเขียนห้าบรรทัดถัดมา นึกถึงงานแต่งงานซะงั้น
อาจจะไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่
แต่อยากให้ดูหนังเรื่องนี้
แล้วจะรู้สึกว่า ความรักมันงดงาม จริงๆ
โลกนี้สวยงามด้วยความรัก


In the harshest place on Earth, love finds a way

Sunday, January 08, 2006

ยำตัวอักษร จาก มูราคามิ



หากคุณต้องการงานศิลปะหรืองานวรรณกรรม
คุณก็ต้องไปหาผลงานของนักเขียนกรีกมาอ่าน
หากต้องการงานศิลปะพิสุทธิ์
จะต้องกำกับใว้ด้วยการมีทาสอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เพราะนั่นเป็นวิธีที่ชาวกรีกโบราณรจนางานเขียน
ในยามที่ทาสอาบเหงื่อต่างน้ำ เพาะปลูกในทุ่ง
ตระเตรียมอาหาร หรือโหมแรงกรรเชียงเรือ
ปราชญ์เสรีชนจะนอนเอกเขนกอาบแดดอุ่นของย่านเมดิเตอร์เรเนียน
ประดิดประดิดประดอยถ้อยคำ หรือเขียนสูตรคณิตศาสตร์
วิธีนั้นจึงจะสร้างสรรค์สร้างผลงานศิลปะได้
สำหรับสามัญคน ผู้คุ้ยหาอาหารมาประทังความหิวจากตู้เย็นตอนตีสาม
ไม่อาจจะรังสรรค์งานเขียนงามงดเช่นนั้นได้

: สดับลมขับขาน (Hear the Wind Sing)



ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ขุ่นขาว
เมฆปกคลุมห่อหุ้มอยู่ชั่วนิรันดร์
ผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้น
เสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย จากความร้อนและความชื้น
ผู้บรรลุถึงอายุสามสิบถือได้ว่าอายุยืนที่สุดแล้ว
ห้วงเวลาแสนสั้นของชีวิต
ทำให้ประชาชนดาวศุกร์ทุกคนมีหัวใจอ่อนโยน
คนดาวศุกร์รักคนดาวศุกร์ ไม่มีความเกลียดชัง
ไม่มีการเหยีดหยาม ไม่มีความอาฆาตในใจ
ไม่มีแม้คำสบถบนดาวเคราะห์ดวงนั้น ไม่มีฆาตรกรรม
ไม่มีการต่อสู้ทุบตีกัน จะมีแต่ความรัก และการถนอมน้ำใจกัน
"ถึงใครเสียชีวิตไป เราก็ไม่เศร้าโสก " หนุ่มจากดาวศุกร์กล่าว
"ในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ เราให้ความรักทั้งหัวใจแก่เขาอยู่แล้ว
เมื่อตายไป จะมีความเสียใจเสียดายไปทำไมกัน"

: พินบอล 1973 (Pinball,1973)



มนุษย์ทุกผู้ทุคนมีอะไรสักอย่างที่ไม่ประสงค์จะสูญเสีย

: แกะรอยแกะดาว (A Wild Sheep Chase)

กระดอง

ห้องนอนและผ้าห่มที่อบอุ่นเกินไปในฤดูหนาว
ความสุขสบายเกินควรและการไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิต
เหล่านี้ล้วนทำให้ชีวิตเปราะบาง
หมดโอกาสที่จะได้สัมผัสธาตุมูลต่างๆในธรรมชาติ
กับความร้อนหนาว แดดลม ความทุกข์ยาก ทุรกันดาร ป่วยไข้
ซึ่งก็เป็นธาตุมูลอีกฝากฝ่ายหนึ่งซึ่งมีอยู่จริงในชีวิตด้วย

- - - -

การเดินทางน่าจะเป็นสื่อที่นำให้มนุษย์ไปเข้าอกเข้าใจกัน
นำไปสู่ความชิดใกล้เรียนรู้คุ้นเคย
และเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของกันและกัน
การเดินทางไม่น่าจะใช่การไปเพื่อตระหนี่เอาเปรียบ
เพื่อที่จะใช้เงินเสพสุข โดยลืมมองชีวิตของผู้คนรอบๆข้าง
โดยเฉพาะคนท้องถิ่นที่ตนไปอาศัยอยู่
ในยามที่เรามีเงินเป็นฟ่อนอยู่ในกระเป๋า
เราได้ลืมที่จะเห็นอกเห็นใจคนยากจนหรือไม่
เราต้องการซื้อของในราคาถูกที่สุด
เรากลัวถูกคนอื่นเอาเปรียบ
คิดที่จะเอาโดยลืมที่จะให้
เรากล่าวหาคนพื้นเมืองว่าโกงหรือโก่งราคา
โดยลืมไปว่าในความกลัวที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบของเรา
เราก็ได้เอาเปรียบคนยากจนโดยทางอ้อมด้วย

- - - -

คุณรู้สึกตัวเองดุจดังหอยทากตัวเล็กๆ
ซึ่งต้องแบกกระดองอันหนักของตน
คืบคลานไปทีละน้อยบนขุนเขาอันยิ่งใหญ่
กระดองนั้นยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
แต่มันกลับเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้
กระดองนั้นก็คือสัมภาระของนักเดินทาง
ซึ่งยิ่งเดินทางไปไกลก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกสิ่งที่มีอยู่เกินความจำเป็น
คุณอยากจะหยิบข้าวของที่มีอยู่โยนทิ้งไปทีละชิ้นจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ
ทว่า คุณกลับทำได้เพียงลดทอนข้าวของสัมภาระให้น้อยที่สุด

ชีวิต และการเดินทาง
ลดทอนคุณลงเหลือเพียงสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานที่สุดในชีวิต
เท่านั้น




*************************************

ชื่อหนังสือ มุ่งสู่ความขาวของหิมะ
โดย พจนา จันทรสันติ
สำนักพิมพ์ มูลนิธิเด็ก
พิมพ์รวมเล่ม ครั้งที่ 2 : มีนาคม 2547, 113 หน้า
ราคา 120 บาท

Friday, January 06, 2006

เพื่อนร่วมทาง



เธอกำลังคิดอะไรอยู่
ในขณะที่ยืนดูภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
สายตาเธอกับสายตาฉัน
จะมองเห็นภาพเดียวกันหรือไม่




ภาพที่ฉันเห็นนะเหรอ
ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม
สุขุม และเยือกเย็น





แต่
เธออาจจะเห็นต่างไปจากฉัน





เรามักมอง และเห็นกันคนละแบบเสมอ
ทางเดินของเราจึงมักสวนทางกัน
ฉันกำลังเดินทางไปยังที่พำนักแห่งเธอ
ในขณะที่เธอเองก็กำลังออกเดินทาง


แล้ววันหนึ่ง
เราคงเดินสวนทางกันอีกครั้ง
ณ. มุมใดมุมหนึ่งของโลกใบนี้











- - - - - - - - - - - -


เพื่อนรุ่นพี่ ที่เคยร่วมทางกันตะลอนพม่า
ส่งภาพที่เธอไปเที่ยวสิกขิมมาให้เมื่อต้นปีที่แล้ว

จากวันนั้นถึงวันนี้
ผมยังไม่ได้เปิดดูเลย

เมื่อวานค้นหา file ของพม่า
เพื่อนำมาเขียน blog เรื่อง พม่าประเทศ
ก็เลยหยิบ file ชุดสิกขิมของรรุ่นพี่เขาคิดมือมาด้วย

วันนี้ก็เลยนั่งดูรูปของเธอ
เลือกๆ รูปที่ชอบๆ ออกมา
แล้วก็พยายามเขียนข้อความประกอบ

Thursday, January 05, 2006

ปีใหม่ ปีจอ

24 ธค 48

เอาคอมไปซ่อมอีกรอบ
กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็น

เพื่อนโทรมาตามให้ไปเยี่ยมลูกของมันที่โรงพยาบาล
โทรมาตามแบบอยากได้ของขวัญ
ท้ายที่สุดก็ไป แต่ไปแบบไม่มีของขวัญ
แค่ซื้อขนมไปฝาก


25 ธค 48

เลี้ยงส่งเพื่อนไปเรียนต่อปริญญาเอก
นัดกินมื้อเที่ยง เพราะคิวของมันยาว
ตอนเย็นต้องไปกินต่อกับอีกกลุ่ม


26 ธค 48

พยายามจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน ทั้งวัน
รวมทั้งพยายามเคลียร์งานออกให้หมด


27 ธค 48

เคลียร์งานหมดตอนเย็น โล่ง
บรรยากาศที่ทำงานเหมือนวันหยุด


28 ธค 48

อยู่ที่ทำงานก็ทำเตรียมโปรแกรมเที่ยวสงกรานต์
ตอนเย็นก็เดินทางกลับบ้าน
ด้วย แอร์เอเซียร์ เหมือนเดิม


29 ธค 48
ชอบบรรยากาศของที่บ้าน
วันที่ทุกคนไปทำงาน เงียบดี
นอนอ่านหนังสือ พร้อมๆ กับเข้าเวรเฝ้าแม่แทนพี่ๆ


30 ธค 48

ถูกถามถึงแบบมัสยิดที่ยังออกแบบไม่เสร็จ
เกรงใจบรรดาญาติผู้ใหญ่
แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลงมือทำ
ได้แต่ผลัดไปเรื่อยๆ ระอาตัวเองเหมือนกัน


31 ธค 48

วันหยุดของทุกคน
บรรยากาศอันเงียบสงบหายไป
ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
เพราะมัวแต่เล่นกับหลานสาว
จริงๆแล้วข้าพเจ้าเกลียดเด็ก
แต่ก็ยอมเล่นกับมัน ก็มันน่ารักดี
แต่ร้องไห้บ่อยฮิบหาย เอาแต่ใจสุดๆ
ก็หลานคนเดียวในบ้าน ที่มีแต่คนแก่ๆ


1 มค 49

ปีใหม่ ปีเก่า อุปโลกของวัน เดือน ปี
ไม่ค่อยมีความหมาย
เมื่อนอนเล่นอยู่ที่บ้าน



2 มค 49
แวะเข้าไปในเมือง
ห้างสรรพสินค้าคนเยอะ
ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ก่อนกลับ แวะเยี่ยมบ้านพี่สาว
ก่อสร้างผิดจากแบบที่ข้าพเจ้าทำใว้เยอะ
ปัญหาจึงตามมาแยะ
ก็แก้ไขไปตามที่พอจะบอกได้



3 มค 49
หารายการทีวีวันหยุดสักรายการที่น่าดู

ไม่ปรากฏ


4 มค 49

โดดงานต่ออีกวัน
เพราะไม่อยากไปแย่งกันกลับเข้าเมือง

เที่ยวบินเข้ากรุงเทพเที่ยวดึกสุดของวันที่เพิ่งเลยวันหยุดมาหนึ่งวัน

แค่นิยามข้างต้นก็พอจะบอกได้แล้วว่ามันจะหง่อยแค่ไหน


5 มค 49

เริ่มทำงานปีใหม่
งานแรกคือ
การพยายามจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวช่วงสงกรานต์
งานที่สองคือ โทรไปตามกล้องที่ส่งไปซ่อม
คงจะหมดวันด้วยงานแค่สองอย่างนี้






อ้อ วันนี้ตอนเช้าแกล้งทำเป็นเหมือนป่วย
ตอนสายๆ เริ่มคล้ายจะป่วยจริง
บ่ายๆ ป่วยจริงตามการแสดง
... สมน้ำหน้าตัวเองจริงๆ