วันพฤหัสกว่าจะกลับจากโรงฝิ่นก็ดึก
กว่าจะจัดเป้ เสร็จก็ตีหนึ่ง
และอารมณ์ไม่อยากไป
ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว
ผมสงสัยมาก
ทำไมอารมณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นทริปเล็ก ทริปใหญ่
ทริปไปกิน ทริปไปนอน
หรือทริปไปเดินแบบนี้
เพราะดูเหมือนกระตือรือร้นก่อนไป
พอจะได้ไปจริงๆ กลับไม่อยากไปซะงั้น
และก็รู้อีกนั่นแหละว่า
เวลาไปก็สนุก กลับมาก็ชอบ
และก็ไปทุกครั้ง ไม่เคยเบี้ยวเพื่อนในวันก่อนไป
แล้ว ทำไมยังรู้สึกไม่อยากไปทุกครั้ง
งง ยังคิดไม่ออก
วันศุกร์วุ่นวายกับการประชุม
และเตรียมจัดการเก็บของไปอยู่ site
เลิกงานก็รีบตรงกับห้อง
จัดการอาบน้ำ เช็คของอีกนิดหน่อย
แล้วก็มุ่งตรงไปที่นัดหมาย
ไปถึงที่นัดประมาณหนึ่งทุ่ม
มีรุ่นพี่อีกคนไปถึงก่อนแล้ว
เลยช่วยกันซื้อเสบียงสัมภาระ
แล้วสมาชิกท่องเที่ยวก็ค่อยๆทะยอยกันมา
แล้วก็ออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่ม
ระหว่างทางก็แวะปั๊มบ้างเล็กน้อย
วันเสาร์เราแวะทานเข้าห้องน้ำและทานกาแฟในตอนเช้า
แล้วก็แวะตลาด เพื่อซื้อเสบียงของสด
ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวกผัก และเครื่องปรุงเล็กน้อย
เพราะของส่วนใหญ่ก็ถูกจัดเตรียมมาจากกรุงเทพแล้ว
เจ็ดโมงกว่าๆ เราก็มาถึงน่านทัวร์ริ่ง
เพื่อทานอาหารเช้า แวะทักทายคนรู้จัก
และยืนยันการติดต่อคนนำทางและลูกหาบ
เสร็จภาระกิจเราก็ออกเดินทาง
จุดหมายคือโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านสะไล
เส้นทางช่วงนี้เต็มไปด้วยโค้ง ไหล่เขา
ทิวทัศน์สวยงามมากๆ
ใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมงเราก็ถึงจุดหมาย
โรงเรียนที่นี้ทำเลสวยมากๆ
จัดการกับอาหารเที่ยง
ตรวจสอบสัมภาระกันอีกรอบ
แล้วเราก็เริ่มออกเดินทาง
มีคนนำทางหนึ่ง และลูกหาบสอง
เส้นทางเดินไปตามใหล่เขา
สองข้างทาง ทั้งด้านสูงและด้านต่ำคือ ต้นขาว
มองจากระยะไกลก็จะเป็นภูเขาสีเขียวอ่อนสุดลูกหูลูกตา
สวยงาม แต่น่าเสียดายผืนป่า
เสียดายในความหมายที่ว่า
น่าจะมีทางเลือกอื่นให้คนในประเทศ
มากกว่าปล่อยให้เขาต้องทำลายป่า
เพื่อปลูกข้าวยังชีพแบบนี้
ตั้งแต่ครึ่งทางของการเดิน
ฝนก็เริ่มตกและก็ตกต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
เราใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง
เดินขึ้นๆ ลงๆ ผ่านทุ่งหญ้าบ้าง
ทุ่งนาบ้าง สวนรกร้างบ้าง
เราก็มาถึงจุดค้างแรมคืนแรก
ผมเข้าใจไปเองว่า
จุดค้างแรมจะใกล้น้ำและมีต้นไม้ให้ผูกเปล
ซึ่ง ผมก็เข้าใจผิดทั้งสองอย่าง
ไม่มีน้ำให้อาบ
และมีต้นไม้ให้ผูกเปลเรียกว่าไม่มีจะดีกว่า
ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีกางไฟล์ชีท และปูกราวชีทเพื่อนอน
ยกเว้นผมกับรุ่นพี่อีกคนที่จับจองต้นไม้ให้เปลได้
อาหารเย็นมื้อนี้มีต้มยำปลาทูน่า
ไข่เจียว และ เนื้อหยอง
และ เนื้อแดดเดียวที่ผมเตรียมไปเป็นส่วนตัว
ของหวานก็คือ ข้าวโพดอบเนย
หลังจากอาหารเย็น
ฝนก็ยิ่งตกหนักลงมาเรื่อยๆ
เราจึงแยกย้ายกันเข้านอน
เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวันเหมือนกัน
การนอนในจริงๆป่าคืนแรก
ทำให้ผมคิดโน้นคิดนี่ไปเรื่อยๆ
ใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่า
จะคิดมากไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก
นอนคิดไปคิดมา
กลัวบ้าง หายกลัวบ้าง
จนรู้สึกว่าเย็นที่หลัง
คราวแรกก็คิดว่าอุปมาไปเอง
จึงนอนไปเรื่อยๆ
กว่าจะรู้ความจริงอีกที
เปลก็กักน้ำใว้ครึ่งเปลแล้ว
ทั้งถุงนอน เสื้อผ้า
ทุกอย่างก็เปียกหมดแล้ว
พยายามหาต้นตอของปัญหาและหาทางแก้
ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ จนหมดปัญญา
จึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และก็นั่งรอให้เช้า
ทรมานมาก เพราะฝนตกหนัก ลมก็แรง
หนาวมากๆ เสื้อผ้าแห้งที่เหลืออยู่ก็มีแค่
กางเกงขาสั้น และเสื้อแขนสั้น เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ
หรือช่วงเวลาร้ายๆ
มันก็ต้องผ่านพ้นไป
ผมเชื่อมั่นในสัจธรรมข้อนี้ เสมอ
วันอาทิตย์พี่ลูกหาบตื่นมาก่อกองไฟ เพื่อเตรียมหุงข้าว
ผมจึงเขาไปนั่งข้างกองไฟ
ทำให้ร่างกายอุ่นมากที่สุด
อุ่นสบาย แม้จะแสบตาเพราะควัน
แหะ แหะ แหะ
จัดการกับอาหารเช้า
จำไม่ค่อยได้ว่า เราทำอะไรกินกัน
รู้แค่ว่า ผมมีเนื้อแดดเดียว อิอิอิ
เก็บสัมภาระที่เปียกเป็นส่วนใหญ่
เป้จึงหนักขึ้นอีกเยอะ แง แง แง
แล้วเราก็เริ่มเดินประมาณ เก้าโมงกว่าๆ
ช่วงแรกเส้นทางก็เริ่มชัน
แถมเป็นดินคล้ายๆโคลน ลื่นมากๆ
วันนี้เราเข้าป่า ซึ่งอยู่ในแนวตะเข็บชายแดนไทย-ลาว
เป้าหมายสำหรับเที่ยงวันนี้คือ
ภูเข้ ที่ความสูง 2079 เมตร หลักเขตแดนไทยลาว
เส้นทางเดินในช่วงนี้ ลื่นมากๆ
ต้องใช้ทั้งมือทั้งเท้า
หมายรวมถึงไม้เท้าด้วย
เรียกง่ายๆ ว่า คลาน นั่นแหละ
ผมนะคลาน และล้มๆ ลุกๆ ไปตลอดทาง
แต่เส้นทางนี้ป่าก็สวยมาก
ถือว่ายังเป็นป่าที่ยังไม่มีการบุกรุก
เสร็จจากมื้อเที่ยงที่ภูเข้
เราก็ต้องรีบเดินไปยังจุดค้างแรมจุดที่สอง
เส้นทางช่วงนี้ ลื่นกว่าชวงแรกมากๆ
ต้องใช้วีธีค่อยๆโหนต้นไม้ลงไป
ประมาณการโรยตัวดีๆนี่เอง
ถ้ามีใครพกเชือกๆผูกใว้ให้โรยตัวก็คงดี
รุ่นพี่คนหนึ่งเปรยแบบนี้
ก่อนที่อีกคนจะสวนทันควันว่า
เพื่อเอาใว้ใช้ปีละครั้งนะเหรอ
เพราะจากครึ่งปีที่แล้วถึงครึ่งปีนี้
เราเป็นคณะเดียวที่เข้าไปเดินในเส้นทางนี้
จุดค้างแรมที่สองก็ไม่ต่างจากจุดแรกสักเท่าไหร่
ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีต้นไม้ให้สายเปล
คืนนี้ผมต้องขอเข้าไปนอนรวมกับเพื่อนๆ
เพราะไม่อยากเปียกอีกแล้ว
แล้วคืนนี้ก็ผ่านไป
หลับสบาย กลางฝน
วันจันทร์พวกเราค่อยๆ ทยอยตื่น
ค่อยๆ ทำโน่นทำนี่
เพราะเราไม่ต้องรีบไปทำงาน
แฮ แฮ แฮ
กว่าเราจะออกเดินก็เริ่มสาย ฝนไม่ตกแล้ว
เส้นทางที่เดินสวยมาก
บางช่วงฟ้าเริ่มเปิด
เราจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปกันบ้าง
และกิจกรรมนี้ทำให้เราเดินกันช้าลง
เดี่ยวก็หยุด เดี่ยวก็หยุด
สนุกดี ผมชอบ 555
จากเดิมที่เราคาดว่า
จะเดินกลับออกที่จุดเริ่มเดินประมาณเที่ยง
ปรากฏว่าบ่ายโมงกว่าเราเพิ่งถึงน้ำตก รางจาล
เราจึงกินอาหารเที่ยงง่ายๆกันที่นี้
ม่าม่าต้มนั่นแหละ ของมาตรฐาน
แล้วช่วงบ่ายเราก็เดินๆ หยุดๆ
ถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดเริ่มเดิน
จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
แล้วก็ออกจากโรงเรียนประมาณหกโมง
สภาพแต่ละคน ก็ถือว่า
อ่อนระโหยโรยแรงกันทั้งนั้น
ใครบอกไม่เหนื่อย
ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
เรากลับออกมาถึงน่าทัวร์ริ่งประมาณสี่ทุ่ม
ทานอาหารมื้อเย็น
แล้วก็หลับยาวถึง กทม