Sunday, July 30, 2006

สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ภาค ลืมตา

ภาวะแย่งอยู่แย่งกิน
เบียดเสียดแก่งแย่งแข่งขัน
เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
จนเป็นความคุ้นเคยของคนจำนวนมาก
ขึ้นรถก็เปิดเพลง
ถึงบ้านก็เปิดโทรทัศน์ทันที

เมื่อความปกติย่างกรายมาพร้อมกับวันหยุดต่อเนื่อง
อาศัยความสังเกตเพียงเล็กน้อย
ก็จะพบว่า ผู้คนคนบนรถเมล์
ที่แล่นไปบนถนนอันว่างเปล่า
ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยเล็กๆ แลดูโดดเดี่ยว

ถ้าเราสงบและเฝ้ามองจิตใจตัวเองระดับหนึ่ง
เราจะสามารถลอกเหตุปัจจัยต่างๆ
บางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน
ที่ประกอบเป็นตัวเราออกมาได้ เป็นชิ้นๆ
เราจะได้พบเห็นตัวตนที่แท้จริง อย่างถ่องแท้

สมองของเราเหมือนห้องใต้หลังคา
เราซุกซ่อนเก็บงำเรื่องราวต่างๆเข้ามาตลอดชีวิต
เรื่องราวทั้งหลายที่เป็นเพียงภาพ
ที่เราปรุงแต่งขึ้นเพื่อจดจำใว้ในสมองส่วนหน้า
พึงระวังว่าในเท็จมีจริง ในจริงมีเท็จ

เรื่องยากที่สุด ของการการเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริง
โดยเฉพาะในเวลาที่แย่ที่สุด
คือเปิดใจรับความเป็นจริง

และบางที การปอกเปลือกชีวิต
ก็ไม่ต่างอะไรกับการปอกหัวหอม
มันมีน้ำออกจากตาเหมือนกัน

เพราะบางสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้
มันก่อรูปมานานแล้ว
นานจนกระทั่งบางทีเราลืมไปว่า
ตัวเองเป็นเช่นนั้นแต่ไหนแต่ไรมา
และเพราะเป็นเช่นนั้น
ถึงเป็นเช่นวันนี้

เราต่างถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากธาตุบางส่วน
จากใครหลายคน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และ เราล้วนมีส่วนเพาะกล้าบางอย่าง
ให้เกิดขึ้นในใครสักคนหนึ่ง


- - - - - - -


ทั้งหมดนี้เรียบเรียงมาจาก
หนังสือ สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ภาค ลืมตา
เขียนโดย กระบี่ไม้ไผ่

หนังสืออีกเล่มหนึ่ง
ที่อ่านซ้ำได้บ่อยมาก

Sunday, July 23, 2006

หลากเรื่อง หลายอารมณ์

พเนจร


ผมชอบพเนจรจริงไหม

ผมตั้งคำถามนี้กับตัวเอง
เพื่อทบทวนความชอบของตัวเองอีกครั้ง

ผมมองดู เจ้านายตำแหน่ง COO
ซึ่งดูแลบริษัทในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
อาทิตย์หนึ่งอยู่ฮองกง
อีกสามวันอยู่เมืองไทย
ไปต่อที่สิงคโปร์อีกสองวัน
แล้วต่อไปอินเดีย ดูไบ
วนไปวนมาในแถบเอเชียกลาง
แล้ววนไปเมืองจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

แค่นึกตาม ก็รู้สึกว่า
นี่คือตำแหน่ง และลักษณะงานในฝันของผมเลย

แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เป็นอย่างนั้นหรอก
เพียงแค่ถูกส่งไปอยู่ Site แถวรามอินทรา
วิถีชีวิตปกติประจำวันที่เปลี่ยนไป
ความไม่แน่นอนของกำหนดการในแต่วัน
มันกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสนุกนัก

แล้วถ้าเกิดในทำงานแบบในฝันจริงๆ
ผมจะมีความสุขกับการพเนจรไหม

แล้ว
ผมชอบพเนจรจริงไหม

ผมอาจจะชอบวิถีชีวิตที่ราบเรียบ
ทุกอย่างดำเนินไปตามแบบแผน
รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนไหน
เวลาทั้งหมดถูกจัดสรรอย่างเดิมๆ

แล้ววันไหนที่ผมเบื่อกับวิถีนั้น
ผมก็แค่หนีออกไปจากมันสักพัก พอให้เกิดสีสัน
แต่เมื่อผมหายเบื่อผมก็สามารถเรียกมันกลับมาใช้อย่างง่ายดาย

ผมเรียกอาการหนีว่า เด็กหนีเรียน

นั่นคือ การที่ผมชอบไปท่องเที่ยวต่างๆ
ในวันหยุด หรือโอกาสพิเศษ
แต่ในวันปกติตารางชีวิตเกือบจะเรียกว่า
เป็นตารางเวลาที่ค่อยข้างชัดเจนมากๆ




ปรองดอง


ผมต้องใช้เวลากับการเดินทางมากขึ้น
ในตอนเช้าประมาณหนึ่งชั่วโมง
และในตอนเลิกงานอีกหนึ่งชั่วโมง

ผมจึงพยายามทดลองการเดินทางหลายๆแบบ
เพื่อพิจารณาดูว่าแบบไหนที่เหมาะสมที่สุด

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือ
เวลาที่ใช้ในการเดินทาง
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ความสะดวกสบาย
หมายรวมถึงกิจกรรมที่สามารถทำได้ระหว่างเดินทาง

กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ทดลองคือ
การฟังข่าวระหว่างเดินทางในตอนเช้า

แล้ววันหนึ่งตลอดการเดินทางหนึ่งชั่วโมง
ผมได้ยินคำว่า ปรองดอง สามัคคี สมานฉันท์

และคงเพราะว่าไม่รู้จะคิดอะไร
ก็เลยเกิดความสงสัยว่า

ปรองดองแปลว่าอะไร
สามัคคีแปลว่าอะไร
สมานฉันท์แปลว่าอะไร

สีขาวกับสีดำ จะปรองดองกันอย่างไร
ความดีกับความชั่วจะสามัคคีกันแบบไหน
แล้ว เลี้ยวซ้ายกับเลี้ยวขวา จะสมานฉันท์กันอย่างไร

เดี่ยวต้องหาเวลานึกเรื่องแบบนี้ต่อ





ความเห็นใจเพื่อนมนุษย์

พนักงานเขียนแบบ
ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยสนับสนุนการทำงานของผม
ถูกยกเลิกการจ้างหนึ่งคน
และอีกหนึ่งคนกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง

ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน
ผมคุยกับ PM โครงการที่ผมกำลังทำว่า
ผมขอดึงสองนนี้มาช่วยงานผม
ในตำแหน่ง inspector
แม้เขาทั้งสองจะไม่ค่อยถนัดและไม่เคยมีประสบการณ์
แต่ผมรับรองว่าผมจะทำการสอนงาน
และเชื่อมั่นว่าทั้งสองคนจะช่วยงานผมได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือเขาทั้งสองคน
เพราะทั้งสองกำลังเสี่ยงกับการถูกยกเลิกการจ้าง

PM ไม่เห็นด้วย
เขาต้องการรับคนใหม่มาทำงานชั่วคราวเพียงหกเดือน
เขาเลือกรับพนักงานงานใหม่ในตำแหน่งนี้สามคน
ทั้งสามคนอายุประมาณห้าสิบปี

หนึ่งชั่วโมงก่อนรู้ข่าวการปลด
และหลังจากทำงานกับพนักงานใหม่สองคนประมาณสองอาทิตย์
ผมยืนยันกับ PM อีกครั้งว่าคนที่สามผมขอเลือกคนใดคนหนึ่ง
จากพนักงานเขียนแบบที่เคยช่วยงานผม
เพราะผมเชื่อว่าสามารถช่วยงานผมได้ดีกว่าสองพนักงานใหม่
ผมไม่ได้ต้องการคนที่มีประสบการณ์สูงๆ
หากประสบการณ์นั้นไม่สามารถช่วยให้งานผมราบรื่นได้
ผมยินดีจะสอนคนใหม่ คนที่ผมมั่นใจว่าจะทำงานสนับสนุนผมได้เต็มที่

PM ไม่เห็นด้วย
เขายังยืนยันที่จะเลือกคนของเขาเอง

วินาทีที่ผมได้ยินข่าวร้ายจากเพื่อนร่วมงาน
ผมอึ้ง

ผมไม่อยากกล่าวโทษ PM
เพราะภาระที่เขารับอยู่
อาจจะทำให้เขาต้องแบกรับอะไรบางอย่าง
ที่ผมไม่เคยรับรู้

ผมได้แต่ภาวนาว่า
ถ้าวันหนึ่งผมขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้น
ขออย่าให้ผมสิ้นศรัทธาในตัวเอง

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
ผมขอกระจอกแบบนี้
แต่ขอศรัทธาต่อความเอื้ออาทรจงอยู่กับผม

--^^

Sunday, July 16, 2006

แค่เสียดาย หรือ อยากได้กันแน่

ตอนนี้กำลังปรับตัวปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับรูปแบบงานใหม่

จากเดิมที่หยุด เสาร์ - อาทิตย์
มาทำงานทุกวันเสาร์

หนึ่งวันเสาร์ที่เพิ่มขึ้นมามันหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาด้วย
หากรวมทั้งเดือนก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น สามสิบ เปอร์เซ็นต์
หรือว่าเฉลี่ยนเสาร์ละประมาณแปดเปอร์เซ็นต์

ฟังดูมีเหตุมีผล
ทำงานเพิ่มขึ้น ก็ได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น

หรืออีกนัยหนึ่งคือ
หากไม่ทำงานวันเสาร์ รายได้ก็เท่าเดิม
ไม่ได้เสียหายอะไรไป


ฉะนั้น หากอาทิตย์ไหนอยากไปเที่ยว
ก็หยุดได้ คงไม่มีใครว่าอะไร
ชีวิตมันก็น่าจะเหมือนเดิม

แต่ความรู้สึกตอนนี้มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
เพราะมันเกิดความรู้สึกว่า
ไม่อยากหยุดงานในวันเสาร์

คำถามที่เกิดขึ้นคือ
ทำไมผมจึงรู้สึกแบบนั้น

หรือว่า จริงๆแล้วผมเองก็เป็นคนอยากได้
เพราะรู้แน่ๆว่า หากทำงานก็ได้เงิน
หากไปเที่ยวก็เสียผลประโยชณ์ส่วนนี้

ความรู้สึกนี้
มันทำให้ผมต้องมานั่งสำรวจตัวเองอีกครั้ง

เรากำลังจะวางชีวิตตัวเองใว้แบบไหน

นี่คือคำถามที่ผมกำลังถามตัวเอง

จะเป็นคนที่ทำงาน 6 วัน
เพื่อรายได้ที่มากขึ้นอีก 30 เปอร์เซ็นต์

หรือ

หากไม่มีความจำเป็นต้องอยู่เฝ้างาน
ก็เอาเวลานั่นไปท่องเที่ยวตามใจชอบ
ไม่มีส่วนของเงินทองมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ

หรือ

...


ก็บอกตามตรงว่า
ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกหรอก

ยังพยายามค่อยๆคิด ค่อยมองตัวเอง
แล้วค่อยๆปรับ ค่อยๆเปลี่ยน

ถือเป็นโอกาสที่ดี
ที่มีเรื่องแบบนี้ผ่านมา
ให้ได้ทดสอบและทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากขึ้น

Thursday, July 13, 2006

การเปลี่ยนแปลง

ทุกๆ วัน
ที่ผ่านมา
ผมมุ่งหน้าสู่สาธร

ทุกๆวัน
ต่อจากนี้
ผมมุ่งหน้าสู่รามอินทรา

วันแรก
ในสถานที่ทำงานใหม่
แม้จะเป็นแค่ site งาน
แต่เมื่อจบในปีหน้า
สำนักงานหลัก
ก็ย้ายไปแล้ว

ผมยังไม่รู้หรอกว่า
ปีหน้าจะมุ่งหน้าไปไหน

ทุกๆเสาร์-อาทิตย์
ที่ผ่านมา
คือวันหยุด

ทุกๆเสาร์
ต่อไปข้างหน้า
คือวันทำงาน

หลายๆสิ่งหลายอย่าง
จะต้องถูกปรับถูกเปลี่ยน

แต่ผมเชื่อว่า
มันก็ต้องลงตัว
ในระยะเวลาไม่นานหรอก

Wednesday, July 12, 2006

เมื่อผมไปเดินป่า ภูเข้

วันพฤหัส

กว่าจะกลับจากโรงฝิ่นก็ดึก
กว่าจะจัดเป้ เสร็จก็ตีหนึ่ง
และอารมณ์ไม่อยากไป
ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว

ผมสงสัยมาก
ทำไมอารมณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นทริปเล็ก ทริปใหญ่
ทริปไปกิน ทริปไปนอน
หรือทริปไปเดินแบบนี้

เพราะดูเหมือนกระตือรือร้นก่อนไป
พอจะได้ไปจริงๆ กลับไม่อยากไปซะงั้น

และก็รู้อีกนั่นแหละว่า
เวลาไปก็สนุก กลับมาก็ชอบ
และก็ไปทุกครั้ง ไม่เคยเบี้ยวเพื่อนในวันก่อนไป
แล้ว ทำไมยังรู้สึกไม่อยากไปทุกครั้ง
งง ยังคิดไม่ออก


วันศุกร์

วุ่นวายกับการประชุม
และเตรียมจัดการเก็บของไปอยู่ site
เลิกงานก็รีบตรงกับห้อง
จัดการอาบน้ำ เช็คของอีกนิดหน่อย
แล้วก็มุ่งตรงไปที่นัดหมาย

ไปถึงที่นัดประมาณหนึ่งทุ่ม
มีรุ่นพี่อีกคนไปถึงก่อนแล้ว
เลยช่วยกันซื้อเสบียงสัมภาระ

แล้วสมาชิกท่องเที่ยวก็ค่อยๆทะยอยกันมา
แล้วก็ออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่ม
ระหว่างทางก็แวะปั๊มบ้างเล็กน้อย



วันเสาร์

เราแวะทานเข้าห้องน้ำและทานกาแฟในตอนเช้า
แล้วก็แวะตลาด เพื่อซื้อเสบียงของสด
ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวกผัก และเครื่องปรุงเล็กน้อย
เพราะของส่วนใหญ่ก็ถูกจัดเตรียมมาจากกรุงเทพแล้ว

เจ็ดโมงกว่าๆ เราก็มาถึงน่านทัวร์ริ่ง
เพื่อทานอาหารเช้า แวะทักทายคนรู้จัก
และยืนยันการติดต่อคนนำทางและลูกหาบ

เสร็จภาระกิจเราก็ออกเดินทาง
จุดหมายคือโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านสะไล
เส้นทางช่วงนี้เต็มไปด้วยโค้ง ไหล่เขา
ทิวทัศน์สวยงามมากๆ











ใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมงเราก็ถึงจุดหมาย
โรงเรียนที่นี้ทำเลสวยมากๆ

จัดการกับอาหารเที่ยง
ตรวจสอบสัมภาระกันอีกรอบ
แล้วเราก็เริ่มออกเดินทาง
มีคนนำทางหนึ่ง และลูกหาบสอง

เส้นทางเดินไปตามใหล่เขา
สองข้างทาง ทั้งด้านสูงและด้านต่ำคือ ต้นขาว
มองจากระยะไกลก็จะเป็นภูเขาสีเขียวอ่อนสุดลูกหูลูกตา
สวยงาม แต่น่าเสียดายผืนป่า
เสียดายในความหมายที่ว่า
น่าจะมีทางเลือกอื่นให้คนในประเทศ
มากกว่าปล่อยให้เขาต้องทำลายป่า
เพื่อปลูกข้าวยังชีพแบบนี้

ตั้งแต่ครึ่งทางของการเดิน
ฝนก็เริ่มตกและก็ตกต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
เราใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง
เดินขึ้นๆ ลงๆ ผ่านทุ่งหญ้าบ้าง
ทุ่งนาบ้าง สวนรกร้างบ้าง
เราก็มาถึงจุดค้างแรมคืนแรก

ผมเข้าใจไปเองว่า
จุดค้างแรมจะใกล้น้ำและมีต้นไม้ให้ผูกเปล
ซึ่ง ผมก็เข้าใจผิดทั้งสองอย่าง
ไม่มีน้ำให้อาบ
และมีต้นไม้ให้ผูกเปลเรียกว่าไม่มีจะดีกว่า

ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีกางไฟล์ชีท และปูกราวชีทเพื่อนอน
ยกเว้นผมกับรุ่นพี่อีกคนที่จับจองต้นไม้ให้เปลได้

อาหารเย็นมื้อนี้มีต้มยำปลาทูน่า
ไข่เจียว และ เนื้อหยอง
และ เนื้อแดดเดียวที่ผมเตรียมไปเป็นส่วนตัว
ของหวานก็คือ ข้าวโพดอบเนย

หลังจากอาหารเย็น
ฝนก็ยิ่งตกหนักลงมาเรื่อยๆ
เราจึงแยกย้ายกันเข้านอน
เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวันเหมือนกัน

การนอนในจริงๆป่าคืนแรก
ทำให้ผมคิดโน้นคิดนี่ไปเรื่อยๆ
ใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่า
จะคิดมากไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก

นอนคิดไปคิดมา
กลัวบ้าง หายกลัวบ้าง
จนรู้สึกว่าเย็นที่หลัง
คราวแรกก็คิดว่าอุปมาไปเอง
จึงนอนไปเรื่อยๆ

กว่าจะรู้ความจริงอีกที
เปลก็กักน้ำใว้ครึ่งเปลแล้ว
ทั้งถุงนอน เสื้อผ้า
ทุกอย่างก็เปียกหมดแล้ว

พยายามหาต้นตอของปัญหาและหาทางแก้
ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ จนหมดปัญญา
จึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และก็นั่งรอให้เช้า
ทรมานมาก เพราะฝนตกหนัก ลมก็แรง
หนาวมากๆ เสื้อผ้าแห้งที่เหลืออยู่ก็มีแค่
กางเกงขาสั้น และเสื้อแขนสั้น เท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ
หรือช่วงเวลาร้ายๆ
มันก็ต้องผ่านพ้นไป

ผมเชื่อมั่นในสัจธรรมข้อนี้ เสมอ




วันอาทิตย์


พี่ลูกหาบตื่นมาก่อกองไฟ เพื่อเตรียมหุงข้าว
ผมจึงเขาไปนั่งข้างกองไฟ
ทำให้ร่างกายอุ่นมากที่สุด
อุ่นสบาย แม้จะแสบตาเพราะควัน
แหะ แหะ แหะ

จัดการกับอาหารเช้า
จำไม่ค่อยได้ว่า เราทำอะไรกินกัน
รู้แค่ว่า ผมมีเนื้อแดดเดียว อิอิอิ

เก็บสัมภาระที่เปียกเป็นส่วนใหญ่
เป้จึงหนักขึ้นอีกเยอะ แง แง แง

แล้วเราก็เริ่มเดินประมาณ เก้าโมงกว่าๆ
ช่วงแรกเส้นทางก็เริ่มชัน
แถมเป็นดินคล้ายๆโคลน ลื่นมากๆ
วันนี้เราเข้าป่า ซึ่งอยู่ในแนวตะเข็บชายแดนไทย-ลาว
เป้าหมายสำหรับเที่ยงวันนี้คือ
ภูเข้ ที่ความสูง 2079 เมตร หลักเขตแดนไทยลาว

เส้นทางเดินในช่วงนี้ ลื่นมากๆ
ต้องใช้ทั้งมือทั้งเท้า
หมายรวมถึงไม้เท้าด้วย
เรียกง่ายๆ ว่า คลาน นั่นแหละ
ผมนะคลาน และล้มๆ ลุกๆ ไปตลอดทาง

แต่เส้นทางนี้ป่าก็สวยมาก
ถือว่ายังเป็นป่าที่ยังไม่มีการบุกรุก

เสร็จจากมื้อเที่ยงที่ภูเข้
เราก็ต้องรีบเดินไปยังจุดค้างแรมจุดที่สอง
เส้นทางช่วงนี้ ลื่นกว่าชวงแรกมากๆ
ต้องใช้วีธีค่อยๆโหนต้นไม้ลงไป
ประมาณการโรยตัวดีๆนี่เอง
ถ้ามีใครพกเชือกๆผูกใว้ให้โรยตัวก็คงดี
รุ่นพี่คนหนึ่งเปรยแบบนี้
ก่อนที่อีกคนจะสวนทันควันว่า
เพื่อเอาใว้ใช้ปีละครั้งนะเหรอ
เพราะจากครึ่งปีที่แล้วถึงครึ่งปีนี้
เราเป็นคณะเดียวที่เข้าไปเดินในเส้นทางนี้

จุดค้างแรมที่สองก็ไม่ต่างจากจุดแรกสักเท่าไหร่
ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีต้นไม้ให้สายเปล
คืนนี้ผมต้องขอเข้าไปนอนรวมกับเพื่อนๆ
เพราะไม่อยากเปียกอีกแล้ว

แล้วคืนนี้ก็ผ่านไป
หลับสบาย กลางฝน




วันจันทร์

พวกเราค่อยๆ ทยอยตื่น
ค่อยๆ ทำโน่นทำนี่
เพราะเราไม่ต้องรีบไปทำงาน
แฮ แฮ แฮ

กว่าเราจะออกเดินก็เริ่มสาย ฝนไม่ตกแล้ว
เส้นทางที่เดินสวยมาก
บางช่วงฟ้าเริ่มเปิด
เราจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปกันบ้าง
และกิจกรรมนี้ทำให้เราเดินกันช้าลง
เดี่ยวก็หยุด เดี่ยวก็หยุด
สนุกดี ผมชอบ 555













จากเดิมที่เราคาดว่า
จะเดินกลับออกที่จุดเริ่มเดินประมาณเที่ยง
ปรากฏว่าบ่ายโมงกว่าเราเพิ่งถึงน้ำตก รางจาล

เราจึงกินอาหารเที่ยงง่ายๆกันที่นี้
ม่าม่าต้มนั่นแหละ ของมาตรฐาน

แล้วช่วงบ่ายเราก็เดินๆ หยุดๆ
ถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดเริ่มเดิน
จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
แล้วก็ออกจากโรงเรียนประมาณหกโมง

สภาพแต่ละคน ก็ถือว่า
อ่อนระโหยโรยแรงกันทั้งนั้น
ใครบอกไม่เหนื่อย
ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

เรากลับออกมาถึงน่าทัวร์ริ่งประมาณสี่ทุ่ม
ทานอาหารมื้อเย็น
แล้วก็หลับยาวถึง กทม

Thursday, July 06, 2006

วิ่งมาราธอน




ผมเปรยๆ กับรุ่นพี่ว่าอยากไปลองวิ่งมาราธอนดูสักครั้ง
เพราะหลังจากทดสอบการวิ่งของตัวเองมาหลายเดือน
ระยะทาง 10 กิโลเมตร ก็อยู่ที่ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
คาดว่าพอจะไปร่วมลองประสบการณ์ใหม่ๆดูบ้าง

รุ่นพี่บอกว่าวันที่ 16 มีงานพัทยามาราธอน
ถ้าตัดสินใจยังแน่นอน ก็บอก
แถมรุ่นพี่บอกว่าควรจะวิ่ง 10 กิโลเมตร ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

วันรุ่งขึ้นก็เลยไปทดสอบความฟิตใหม่
พยายามสร้างสถิติ
ปรากฏว่า กลับมาสลบ วันรุ่งขึ้นเหมือนจะเป็นไข้
แต่ไม่เป็นไร วันนี้ลองใหม่
555


รุ่นพี่อีกคนบอกว่า
สังคมนักวิ่ง(มาราธอน)
ก็เหมือนสังคมคนเดินป่านั่นแหละ
เหมือนกันมากๆ

ผมเองยังไม่รู้ทั้งสองอย่าง
เพราะเดินป่าจริงๆ ก็ยังไม่เคย
ไปวิ่งก็ยังไม่เคยเหมือนกัน
ฉะนั้น จึงต้องลองดู

หากไม่จำเพาะเจาะจงลงไปที่คนเดินป่า
แต่เหมารวมๆถึงคนที่ชอบท่องเที่ยวแบบรวมๆกันไปเที่ยวก็
รู้สึกถึงนิสัยบางอย่างที่ค่อนข้างจะเหมือนกัน
ไม่รู้ว่ามันเป็นลักษณะนิสัยประจำกลุ่มหรือเปล่า

คนเหล่านี้(หมายถึงผมด้วย)จะสนิทกันง่าย
เจอกันครั้งแรกก็ทำเหมือนรู้จักกันมาสิบปี
และก็ในทางตรงกันข้าม ก็ห่างเหินกันง่ายๆ
มันเหมือนกับว่า ถ้าได้เที่ยวกันอีกก็สนิทกันอีก
แต่หากไม่ได้เที่ยวกันอีกสักพักก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน


กลับมาถึงรูปข้างบน
รูปที่หยิบมาจากคนอื่นแบบไม่ขออนุญาตินะ

นี่คือบุคคลที่โคจรมารู้จักกัน
เพราะชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน

นี่แค่ส่วนหนึ่ง
และแค่ส่วนนี้ก็ถือว่าเยอะเหมือนกันนะเนี่ย

ไม่ธรรมดา