Thursday, February 05, 2009

เตรียมตัวก่อนไปท่องโลก



ผมวางแผนคร่าวๆใว้ว่า
แต่ละครั้งที่ใช้วันลาพักร้อน
พยายามเลือกช่วงเวลา
ที่พอจะทำให้สามารถเดินทางได้นานๆ
ยิ่งเดี่ยวนี้
ค่าตั๋วเครื่องบินแพง
ยิ่งต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

สำหรับปีที่ผ่านมา
ทริปใหญ่ปลายปีถูกเลื่อนมาเรื่อยๆ
แรกเริ่มผมวางแผนว่าจะไปดูเทือกเขาหิมาลัยฝั่งอินเดีย
เป้าหมายแรกคือ เลห์ หรือ ลาดัก ตั้งใจจะเดินทางในเดือนสิงหาคม
แล้วก็ขยับมาเป็นกันยายน ซึ่งยังคงเดินทางไปเลห์ได้
แต่ก็มีเหตุให้ต้องเลื่อนไปเดือนตุลา
ซึ่งถึงตอนนั้นก็ไม่เหมาะจะไปเลห์
ก็ต้องหาที่ใหม่ ที่เป็นช่วงเวลาที่ดีของสถานที่ที่จะไป

เหตุการณ์ก็วนไปวนมาแบบนี้
จนเกือบวันจะเดินทางนั่นแหละ
จึงสรุปกันได้
เพราะต้องจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน



นี่คือความลำบากแรกของการเดินทางท่องเที่ยว
ขั้นตอนนี้แบ่งเป็นสองส่วนคือ
ส่วนแรก
การกำหนดช่วงเวลาเดินทาง
หากเราเลือกเดินทางคนเดียว
ปัญหาเรื่องนี้ก็จะน้อยลง
แต่เมื่อไหร่ที่จำนวนคนเพิ่มขึ้น
ข้อจำกัดของแต่ละคน คนละนิดละหน่อย
บวกๆกันก็ทำให้จัดทริปลำบากมาก

ส่วนนี้ก็ได้อย่างเสียอย่าง
ใครเบื่อต้องรอพรรคพวกก็เดินทางเดี่ยว
ใครยังไม่กล้าแกร่งพอ ก็ต้องอดทน ทำใจ

ส่วนที่สอง
การเลือกจุดหมาย
ฟังดูเหมือนจะง่าย
แต่ขั้นตอนนี้ยากพอๆกับการกำหนดช่วงเวลา
และมีผลขึ้นต่อกันและกันอย่างมาก

บางสถานที่เหมาะ และเดินทางได้
ในแค่ช่วงเวลาๆสั้น
หลายๆสถานที่ ช่วงเวลาที่ดีที่เหมาะ
อาจจะไม่ตรงกับช่วงที่เรามีเวลา
และยังเกี่ยวพันไปถึงว่า
เป้าหมายเหล่านี้เป็นตัวกำหนดค่าใช้จ่าย
แม้ว่าบางสถานที่จะไปช่วงไหนก็สวย
แต่สมาชิกบางคนบอกว่างบประมาณเกินกำหนด
ก็เป็นอันตกอันดับไป

ส่วนมากการคัดเลือกสถานที่
มักหาข้ออ้างว่าตามใจใครสักคน
หรือหาเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนัก
จากอะไรบางอย่าง
บางคนบอกว่านี่คือธีมของทริป
และก็มักจะเอาใว้กล่าวหา
คนที่ถูกอุปโลกขึ้นมาเป็นเจ้าของทริป
หากเกิดปัญหาอะไรระหว่างการเดินทาง
ก็เพื่อความคะนองปากนั่นแหละ



เมื่อมากถึงขั้นที่เราก็จะมีตั๋วเครื่องบินในมือ
ก็หมายความว่าเรามีเป้าหมายแรกแล้ว
นั่นคือเดินทางไปเริ่มต้นที่เดลี ปรเทศอินเดีย
และเดินทางกลับจากเดลีสู่ กรุงเทพมหานคร
เดินทางทั้งหมดประมาณ 18 วัน
ออกจากสุวรรณภูมิในเช้าวันที่ 20 ธันวาคม
และคาดว่าจะกลับมาถึงสุวรรณภูมิตอนตีห้าของวันที่ 6 มกราคม

ขั้นตอนต่อจากนี้ทั้งหมด
เป็นหน้าที่หลักของผม
เนื่องจากว่าผมเป็นคนจัดการ
เรื่องแผนการเดินทางทั้งหมด

วิธีการที่ใช้คือ
อ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวข้อง
อ่านจากเว็บต่างๆ
พยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุด

แต่ก็นั่นแหละ
อินเดียนะ
ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ

เราจะเลือกท่องเที่ยวแบบไหน
เลือก และข้าม ที่ไหน
เดินทางอย่างไร
พักที่ไหน
จิปาถะทั้งหมดนี้

ต้องใช้เวลา
ในการเตรียมการ

แต่ะหลังจากกลับจากไฮเดอราบัด
ตอนต้นเดือนธันวาคม
ผมก็ต้องรีบจะสางงานทั้งหมด
ก่อนเดินทางท่องเที่ยวยาว

แผนการเดินทางคร่าวๆ ร่างแรก
จึงเสร็จเรียบร้อยบนเครื่องบิน
จากสุวรรณภูมิมุ่งสู่เดลี

และแน่นอน
แผนนั้น ก็ถูกปรับรายวัน
จนถึงวันเดินทางกลับเลยทีเดียว



เกริ่นมายาวขนาดนี้
เพื่อจะร่ายยาวการท่องเที่ยวรูปแบ็คแพ็คแบบไทยๆ
ตั้งใจใช้คำนี้จริงๆ เพราะว่ารูปแบบการท่องเที่ยวแบบนี้
มันเป็นลูกผสมจริงๆ ผมยังสีหน้าชาวต่างชาติที่แปลกใจ
ในคราวที่พวกเราเก้าคนไปเดินเทรคกิ้งที่เส้นทางอัณนาปูรณะ
ทุกคนแปลกใจว่าสมาชิกเก้าคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน
เดินทางท่องเที่ยวแบบที่เขาเรียกกันว่าแบ็คแพ็คได้ยังไง
จริงๆพวกเราก็งงว่าเขาแปลกใจอะไร
พวกเราสรุปกันง่ายๆว่า เราเอาวิธีการที่เราใช้กับการเดินป่าในเมืองไทย
แค่ขยายเป้าหมายไปสู่เส้นทางที่ไกลมากขึ้น
ก็เท่านั้นเอง

สำหรับการท่องเที่ยวอินเดีย 18 วันครั้งนี้
เป็นความตั้งใจว่าอยากบันทึกละเอียดๆสักครั้งหนึ่ง
เก็บใว้กันลืม

แล้ววันที่หนึ่ง
ถึงวันที่สิบแปด
จะทยอยกันมาเรื่อยๆ
ตามจังหวะที่เป็นไปได้

Tuesday, February 03, 2009

สิ่งที่ได้มา และสิ่งที่เสียไป

หากใครติดตามข่าวต่างประเทศ
ประมาณกลางเดือนมกราคม
อาจจะได้ยินข่าวบริษัท SATYAM
บริษัทด้านไอทีอันดับต้นๆของประเทศอินเดีย

ผมไม่ได้ตามข่าว
เลยไม่มีรายละเอียด
แต่สิ่งที่รับรู้จากเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานคือ
บริษัทนี้ถูกจับได้ว่ามีการตกแต่งบัญชี
และผู้บริหารระดับสูงก็โดนจำคุก
เนื่องจากรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว

คำถามคือ ข่าวนี้เกี่ยวอะไรกับงานที่ทำ

คำตอบคือ เกี่ยวข้องโดยตรงมาก
เนื่องจากโครงการที่เมืองไฮเดอราบัด
เป็นโครงการสัมปทานที่รัฐบาลลงนามกับบริษัท MAYTAS
ซึ่งบริษัท MAYTAS คือบริษัทลูกของ SATYAM
(ขนาดชื่อยังจงใจตั้งให้แค่อ่านสลับด้านเลย)

และคนที่ดูแลโครงการที่ไฮเดอราบัด
ก็คือผู้บริหารที่โดนจำคุกนั่นแหละ

สรุปคือ โครงการที่ไฮเดอราบัด
มีอันเป็นไปตั้งแต่เริ่มต้นโครงการได้ไม่ถึงสี่เดือน
ทางบริษัทอาจจะต้องเสียโครงการใหญ่ในมือออกไป

จึงอาจจะถือเป็นโชคดีของผม
ที่ได้เดินทางไปทำงานที่นั่น
ก่อนที่โครงการจะถูกชะลอไป
อย่างไม่รู้กำหนด

การเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
ทำให้เรามองเห็นศักยภาพของตัวเองชัดเจนขึ้น

เนื่องจากหากเราทำงานอยู่ที่สำนักงานกรุงเทพ
งานทั้งหมด จะถูกติดต่อทางอีเมลล์
เรามีเวลาที่จะนั่งหาข้อมูลเพื่อตอบคำถาม
เรามีพนักงานคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง
คอยสนับสนุนหรือช่วยกันทำงาน
เรามีข้อมูลที่กระจายอยู่ตามตู้เอกสารต่างๆ
และเราสามารถหลบหรือเลี่ยงบางเรื่องได้
มันเหมือนเราตั้งรับศึกอยู่ในป้อมปราการ
การรบศึกแบบนี้ โอกาสแพ้จึงมีน้อยมาก

แต่การเดินทางไปยังถิ่นของลูกค้า
เปรียบเหมือนกับการถูกส่งไปสู่สนามรบ
ในขณะที่มีอาวุธเพียงคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหนึ่งตัว
แล้วที่เหลือทั้งหมดคือความสามารถส่วนตัว
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่สั่งสมมา ศิลปะการเผชิญหน้ากับลูกค้า
เราจะต้องตอบคำถามลูกค้าอย่างมืออาชีพ และทันที
แค่สองคำนี้ก็ยากมากแล้ว
เราอาจจะถูกรุมล้อมด้วยลูกค้าหลายๆคน
ทุกๆคนก็รอการตอบสนอง
และแน่นอน เราต้องทำทั้งหมดนั้นด้วยตัวคนเดียว

การทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
ในขณะที่เครื่องมือสนับสนุนมีจำกัดมากๆ

เราอาจจะพริ้นงานไม่ได้
บางโปรแกรมเราอาจจะไม่มีใช้
ข้อมูลบางอย่างอยู่ที่กรุงเทพ
โทรถามใคร หรือปรึกษาใครก็ไม่มี
จิปาถะ ของอุปสรรค

แต่เราต้องทำราวกับว่า
เรารับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้
ง่ายๆ

ทั้งหมดนี้แหละ คือความยาก
ทั้งหมดนี้แหละคือ ประสบการณ์
มันทำให้เราได้รู้ว่า
เราต้องปรับปรุงศักยภาพอะไรอีกบ้าง
เราจึงจะพร้อมที่จะออกไปรบนอกบ้าน

เพราะเมื่อไหร่ที่เราพร้อมในทุกสนามรบ
เมื่อนั่นแหละที่เราจะเข้าใกล้
ความเป็นมืออาชีพ

ถึงตอนนี้
หัวหน้าบอกว่าให้ไปประชุมที่มุมไบ
ผมก็รู้ตัวเอง และตอบอย่างชัดเจนว่า
รอไปก่อน

เพราะทุกคนบอกว่า
ลูกค้าที่มุมไบ
โหดกว่าไฮเดอราบัด
มากมาย จนบรรยายไม่หมด

ผมขอฝึกฝีมืออีกหน่อย
แล้วค่อยเจอกัน
บรรดาลูกค้าทั้งหลาย

Monday, February 02, 2009

เดินทางไปทำงาน

ผ่านมาหลายวัน
จนข้ามปี
ผมขอย้อนกลับไปบันทึก
การเดินทางออกไปทำงาน
นอกอาณาจักรไทยครั้งแรก

วันที่ 19 พย
สายการบินไทยนำผมสู่ประเทศอินเดีย
ปลายทางที่เมืองไฮเดอราบัด

แม้จะเดินทางพร้อมกับหัวหน้า
แต่เป็นครั้งแรกที่เดินทางสู่ประเทศนี้
มีความหวั่นๆเล็กน้อย
และผมก็ถือวีซ่าท่องเที่ยว
แตกต่างจากคนอื่นๆที่ถือวีซ่าธุรกิจ

ตอนที่ผ่านตม
ทางเจ้าหน้าที่ก็คงงๆ
ผมอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวจำนวนน้อยมากของเมืองนี้
ก็เมืองไอทีที่จะมาแทนบังคลอร์
ทุกคนเดินทางมาทำงาน
ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย

เมื่อผ่านตม เป็นที่เรียบร้อย
รับกระเป๋าแล้วก็ออกมาด้านนอก
มีรถของโรมแรมมารับเรียบร้อย











สภาพโรงแรม
ดีกว่าที่คิดมาก


ตื่นเช้ามา
ทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนร่วมงาน
การพูดคุยจึงหนีไม่พ้นเรื่องงาน

ประมาณเก้าโมงของที่อินเดีย
ซึ่งช้ากว่าไทยชั่วโมงครึ่ง
รถของบริษัทก็จะมารับไปทำงาน

นั่งทำงานจนมื้อเที่ยง
ก็หนีไม่พ้นแอปเปิ้ล
หรือไม่ก็พิซซ่า

แล้วก็นั่งทำงานต่อจนสองทุ่ม
กลับมาทานมื้อเย็นที่โรงแรม
การพูดคุยก็เป็นเรื่องงานๆๆ

ทานเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้อง
เพื่อทำงาน ทำงาน และก็ทำงาน

ทำงานจันทร์ถึงเสาร์
หยุดวันอาทิตย์แค่หนึ่งวัน
ซึ่งพวกเราก็เช่ารถโรงแรมออกไปดูเมือง
ถือเป็นการดูงานไปในตัว















เป็นแบบนี้ จนถึงกำหนดกลับ
แต่ก็บังเอิญ
กลับประเทศไม่ได้
เพราะสนามบินปิด

หัวหน้าฝรั่ง
บอกว่าจะเดินทางไปมุมไบ

แต่ปรากฏว่ามุมไบ
เกิดสถานการณ์แย่
เกิดเหตุการณ์จับตัวประกัน

ท้ายที่สุด บรรดาคนไทยก็ต้องกลับประเทศแบบอ้อม
โดยบินจาก เมืองไฮเดอราบัด สู่ กัวลาลัมเปอร์
จากกัวลาลัมเปอร์ ก็บินเข้าภูเก็ต
แล้วก็นั่งรถตู้จากภูเก็ตเข้า กทม

จากเดินทางแค่สี่ชั่วโมง
กลับใช้เวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง


ทั้งหมดนี้
ถือเป็นการผจญภัยครั้งแรก
ของการเดินทางไปสู่ประเทศอินเดีย

แน่นอนว่ามีครั้งแรก
ก็มีครั้งที่สอง