Thursday, June 28, 2007

จาก Delhi สู่ Mumbai ไป Hyderabad

ตั้งชื่อบล๊อกเหมือนกับว่า
เดินทางตามเส้นทางนั้น
ทั้งๆที่ความจริงคือ
ยังไม่ได้ไปเลยสักที่


เริ่มจาก Delhi




MD โทรเข้ามือถือตอนที่หนีเที่ยวเชียงใหม่
พูดสั้นๆง่ายๆว่า
"เห็นคุณ...บอกว่าคุณเฟิงอยากไปอินเดีย
งานมันไม่น่าสนใจหรอก มีแต่งานเอกสาร
ทำรายงานการประชุม"

สรุปคือ เอ็งไม่ต้องไปหรอก


ถัดมาสู่ Mumbai





ทุกคนถูกบังคับกันถ้วนหน้า
ยกเว้นเฟิง ผู้อยากไป แต่ไม่ได้ไป
เขาให้นั่งทำงานอยู่ที่นี้แหละ
เฝ้ากระดาษต่อไป ใครอยากได้อะไร
เฟิงเป็นคนหาให้
ใครอยากรู้อะไร ถามเฟิง
แต่เฟิง ไม่ต้องไป มุมบายยยยยยยยยยยย

จนหลังๆ ไม่อยากไป
เพราะท่าทางจะลำบาก
แต่ก็ไม่แน่ใจว่า
เป็นพวกองุ่นเปรี้ยวหรือเปล่า
ขนาดรุ่นพี่ที่นั่งติดกัน
ถูกบังคับไปหนึ่งเดือนครึ่ง โดยไม่ให้กลับเลย
(ปกติมาตรฐานคือ ไปสามอาทิตย์ กลับหนึ่งอาทิตย์)
พี่เขานั่งบ่นต่างๆนานา
ไอ้เฟิงได้แต่ฟัง
เพราะยังสองจิตสองใจ
จะเห็นใจหรืออิจฉาดี
แถมคิดในใจ ถ้าเป็นตรูนะ
จะลาพักร้อน เที่ยวต่อมันซะเลย
แต่ก็ไม่แน่ อาจจะอยู่ไม่ได้
กลับมาผอม และเหม็นก็เป็นได้

ล่าสุดรุ่นพี่กลับมา
มีกลิ่นเหม็นจริงๆนา


มาถึง Hyderabad

ชื่อเมืองที่ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งได้ยินชื่อ
เดลี มุมไบ(ชื่อเดิมบอมเบย์) ได้ยินมานาน
แล้วเจ้า ไฮเดอราบัด เนี่ย มันส่วนไหนของอินเดีย

วันหนึ่งทำแบบไปส่งลูกพี่
เขาบอกว่า ตรงนี้เฟิงต้องแสดงให้ชัด
ว่าเราเลี้ยวหลบประตูเมืองของเขา
ประตูเมืองที่การบินไทย ลงในโฆษณานะ

ก็เออออ ไปตามประสา ทั้งๆที่ยังนึกไม่ออก ยังไม่เคยเห็น
ตั้งใจว่า เดี่ยวว่างๆ จะถามอับดุล(googleeeee) ซะหน่อย

แล้ววันเวลาก็ผ่านไป

ไอ้เฟิงไปเที่ยวผีตาโขน
ลูกพี่ไปเดินป่าเขา
(MD ทำงานตลอดเวลา 555)

วันจันทร์ ยังไม่ทันได้โม้เรื่องเที่ยว
ลุกพี่เดินมาหา ถามว่า
เฟิงใช้โปรแกรม ... เป็นไม๊
ไอ้เฟิงหน้าซื่อถามกลับว่า
มันคืออะไรเหรอพี่

ยังไม่ทันตอบลูกพี่เดินไปซะแล้ว

ผ่านไปสองหายใจ
ลุกพี่กลับมาใหม่
ด้วยคำถามใหม่ ใจความใกล้เคียงเดิม
เฟิงใช้โปรแกรม... เป็นไม๊
ไอ้เฟิงเริ่มรู้จัก แต่ก็ยังไม่เป็นเหมือนเดิม

ลูกพี่ก็อ่อนใจ
บอกว่า MD ต้องการคนไป hyderabad
มีเฟิงคนเดียวที่อยากไป แต่เฟิงใช้โปรแกรมไม่เป็น

ผ่านไปอีกห้าหายใจ (เท่ากับสองอึดใจนะ)
MD โทรมาเรียกเข้าพบ
นึกในใจว่า สงสัยไม่โดนด่าก็ต้องได้ไปแน่ๆ
ปรากฏว่าผิดทั้งสอง
MD สั่งงานอีกสามล้านอย่าง
เป็นงานที่ Hyderabad นั่นแหละ

หลังจากวันจันทร์ไม่เห็นหน้าลูกพี่อีกเลย
เพราะต้องบินด่วนไปไฮเดอราบัด
แล้วรุ่นพี่อีกคน ที่ได้กำหนดกลับจากมุมบาย
(Mumbai ฝรั่งอ่านว่า มุมบาย และ Dubai เขาก็อ่านว่า ดูบาย เน้อ)
ก็ต้องเลื่อน เปลียนเป็นบินไป hyderabad ก่อน
แล้วค่อยได้กลับ (หรืออาจจะยาว 555)

หลังจากผ่านไปอีกสองวัน
ถึงวันนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปหมด
ส่วนหนึ่งไป hyderabad - MD ด้วย
อีกหลายส่วนก็เดินทางตามเส้น
BKK - Mumbai - Dubai - BKK
ส่วนไอ้เฟิง นั่งทำงานที่เดิม

ด้วยเวลาอันปลอดคนแบบนี้
ก็เลยลองหาดูหน่อยว่า
hyderabad มันคือตรงไหน
ได้เห็นรูปแล้วก็มั่นใจ



อยากไปอะ

เอาเป็นว่า
ต้องไปฝึกใช้โปรแกรมที่ว่าหน่อยแล้ว

Wednesday, June 20, 2007

หนังตากระตุก

เคยได้ยินมาบ่อยๆว่า
หนังตาซ้ายกระตุก
จะเจอเรื่องดี
หนังตาขวากระตุก
เรื่องร้ายๆกำลังรออยู่

ผมมีอาการหนังตาขวากระตุกมาเป็นเดือน

ช่วงสองสามวันแรกที่เป็น
ก็ลุ้นๆอยู่ว่าจะมีเรื่องร้ายอะไร

แต่พออาการหนังตาขวากระตุก
เป็นทั้งวัน ตลอดวัน
ก็เริ่มเลิกลุ้น

กลายเป็นกังวล
ว่าจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่า

นับถึงวันนี้ก็เป็นเดือนแล้ว
ยังไม่เลิกกังวล
แต่ไม่กล้าไปหาหมอ
รอให้มันหายเอง

จนเมื่อวานได้อ่านข่าว
ในข่าวบอกว่า

อาการหนังตากระตุก
อาการนี้มักเกิดขึ้นกับผู้มีอายุ 50-70 ปี
เป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาที่หดเกร็งอย่างต่อเนื่อง
และไม่สามารถควบคุมได้

ผู้ป่วยบางรายถึงขั้นไม่สามารถปิดตาให้สนิทได้
ส่งผลให้ตาบอด

เบื้องต้นอาจเริ่มจากระคายเคืองตา
แพ้แสง
และกระพริบตาบ่อย
จนกระทั่งกลายเป็นอาการหนังตากระตุก


อ่านจบก็งง

ทำไมตรูชอบเป็นโรคคนแก่นักนะเนี่ย
อายุ 50-70 ค่อยเป็นไม่ได้หรือไง

หรือว่าตาแพ้แสงนะเนี่ย

งั้นไปลองเปลี่ยนแว่นดูก่อนดีกว่า
ปรับหน้าจอคอมให้มืดลงอีกสักหน่อย
พยายามดื่มกาแฟทุกวัน
เพราะในข่าวบอกว่าการดื่มกาแฟจะช่วยได้


ก็แบบว่า
ลองไปทุกวิธียกเว้นไปหาหมอ

เฮ้อ คนเรา

ก็ลองคิดดูสิว่า
ไปหาหมอเพราะหนังตากระตุก
มันแปลกๆอยู่นา

Sunday, June 17, 2007

หลังเลิกงาน : ทุกวัน คือ น้ำหนัก

หลังเลิกงาน : วันจันทร์

นำโทรศัพท์ที่ไม่สามารถเปิดได้ไปซ่อมที่มาบุญครอง
มีร้านให้เลือกมากมาย
จนไม่กลัว

โทรหาเพื่อนที่เปิดร้านอยู่ที่นั่น
เธอบอกให้ไปหาลูกน้องเธอที่ร้าน
และลูกน้องเธอก็จัดการให้จนเสร็จ
โดยรับคำสั่งจากเธอว่า ห้ามคิดเงิน

บางครั้งน้ำใจที่มากเกินควร
ก็สร้างความลำบากใจให้ผู้รับ

ผมจึงต้องบอกเธอว่า
เจอกันเมื่อไหร่ ผมค่อยเลี้ยงข้าวเธอตอบแทน
พูดไปทั้งๆที่รู้ว่า
โอกาสที่จะได้เลี้ยงข้าวเธอ
ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่


หลังเลิกงาน : วันอังคาร

นอกจากต้องกินอาหารดีๆ
พักผ่อนให้พอเหมาะพอสม
ก็ต้องออกกำลังด้วย

เชื่ออย่างนี้
และก็พยายามทำอย่างนี้ให้ได้

เนื่องจากอาการเหนื่อยจากการเดินป่ายังอยู่
วันนี้จึงทำได้แค่เพียงยืดเส้นยืดสาย
ให้พอมีเหงือ กล้ามเนื้อได้คลายตัว


หลังเลิกงาน : วันพุธ

เลิกงานเป็นคนรองสุดท้าย
งานยังไม่เสร็จ ต้องรีบกลับ
เพราะไม่มีกุญแจปิดออฟฟิศ

อาการหวัดตั้งแต่กลางวันยังไม่ดีขึ้น
จึงตรงกลับที่พัก เพื่อพักผ่อน

กลับถึงที่พักก็จัดการกับกองผ้าจากการท่องเที่ยว
เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง

นอนอ่านการ์ตูนจนหลับ


หลังเลิกงาน : วันพฤหัสบดี

ไปกินข้าวกับพี่ๆที่รู้จัก
เนื่องในโอกาสที่คุณเอสกลับมาจากดูไบ
คุณเอสฝรั่งหน้าตาเหมือนลุงเคน
กลับมาพักผ่อนที่เมืองไทย บ้านภรรยาหนึ่งอาทิตย์
กำลังจะกลับไปในวันเสาร์ จึงอยากเจอเพื่อนร่วมงาน

คุณเอสเป็นสถาปนิกออกแบบรถไฟฟ้า
สายสีเขียวและสีแดง ของประเทศดูไบ
ผมบอกว่า ตอนนี้ผมกำลังทำสายสีม่วงอยู่
คุณเอสบอกว่าเจ้านายของผมก็ชวนเขามาทำเหมือนกัน
ผมบอกว่า วันหนึ่งผมอาจจะได้เจอเขาที่ดูไบ

ผมพูดไปทั้งๆที่รู้ว่า โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ฟังภาพดูไบจากคุณเอสแล้ว
ต่างจากที่เคยได้ยินได้ฟังมามาก
คุณเอสบอกว่า เดือนหน้าอุณภูมิข้างนอกจะถึง ๕๐ องศา
ฟังแล้วจะรู้สึกร้อนแทนเลย

ระหว่างบทสนทนาเรื่อยๆเปื่อยของวงอาหารตอนหนึ่ง
คุณเอสซึ่งอายุ ๖๑ แล้วพูดว่า

ผมขอแนะนำพวกคุณในฐานะที่พวกคุณยังหนุ่ม
มีสองอย่างที่พวกคุณควรจะทำ
หนึ่งคือ การถ่ายรูป โดยเฉพาะรูปบ้านเมือง
สองคือ การสะสมของธรรมดาๆ

เมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบสามสิบปี
สองอย่างนี้จะมีคุณค่ากับคุณมาก

เพราะทุกคนพร้อมจะพูดว่า
อย่างงี้ฉันเคยมี แบบนี้ฉันเคยเห็น
ฉันเคยใช้แบบนี้มาก่อน



หลังเลิกงาน : วันศุกร์

ออกเดินทางจาก กทม ประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง
ประมาณสามทุ่มกว่าๆก็ถึงจุดหมาย
น้ำตกตะคร้อ อำเภอประจันตคาม
พวกเรานอนกันที่ทำการอุทยาน


วันเสาร์

ประมาณเจ็ดโมงเราก็ออกเดินทางไปยังจุดนัดหมาย
หน่วนเภกา จัดการทำอาหารเช้า เพื่อรอสมาชิกที่เหลือมาสมทบ

หลังข้าวเช้า และสมาชิกพร้อม
พวกเราทั้งหมดก็ถูกส่งไปจุดเริ่มเดิน
จุดที่เริ่มเดินเป็นป่าหญ้าคา
ซึ่งพื้นที่ของธรรมกาย




ทางเดินง่ายๆ สบายๆ
ป่าแถวนี้ยังร่ม แม้ไม้ไม่ใหญ่มาก
ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ
พวกเราก็ถึงจุดที่พัก

จัดการผูกเปล ปลูกไฟล์ชีท
ทำอาหารเที่ยง ทานข้าว
แล้วก็เล่นน้ำ - กิจกรรมหลัก






ประมาณบ่ายสี่เราก็เดินขึ้นไปชมน้ำตกที่ยอดเขา
น้ำตกสามง่ามในอาทิตย์นี้ไม่มีน้ำ
แต่เมื่อมาถึงแล้วก็อยากไปพิสูจน์ดูซะหน่อย

ทางเดินช่วงนี้ไม่ยาวแต่ยาก
เพราะไม่มีทาง ต้องทำการตัดทางขึ้นเขา

กลับลงมาจากน้ำตก
พี่ๆที่ไม่ได้ขึ้นก็จัดการทำอาหารเย็นใว้เรียบร้อยแล้ว

หลังจากเล่นน้ำกันจนหนำใจ
แล้วก็ทานอาหารเย็น
นั่งพูดจากันเล็กน้อย
ก็แยกย้ายกันไปนอน

ประมาณสี่ทุ่มฝนก็ตกลงมา
นอนฟังเสียงน้ำใหล
เสียงฝนที่ตกลงมากระทบไฟล์ชีท
เป็นสุขดี



วันอาทิตย์

ทุกหยดน้ำที่เกาะบนไฟล์ชีท
คือน้ำหนักที่ต้องแบก

ตอนที่กำลังเก็บไฟล์ชีท
รู้สึกแบบนี้มากๆ

เดินกลับใช้เวลาน้อยกว่ามาก
แต่ต้องเสียเวลารอ
เนื่องจากรุ่นพี่คนหนึ่งทำกล้องหาย
จึงต้องให้รุ่นน้องที่พลังเหลือเฝือ
เดินกลับไปอีกรอบ

หลังจากอาหารเที่ยงที่หน่วยเภกา
เราก็เดินทางต่อมาหาเพื่อนซึ่งเป็นพยาบาล
ที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศ
เพื่อกินส้มตำ
ที่รสชาดไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่


หลังจากเสร็จจากมื้อสมตำ
ก็นั่งกระบะหลังของรถ ตากฝนกลับ กทม

Monday, June 11, 2007

ขาขึ้นนั้นยาก ขาลงก็เหนื่อย นะ

รถตู้พาพวกเราถึงจุดหมายประมาณตีสี่
มีรถตู้หนึ่งคันและเต็นท์จำนวนหนึ่งกางอยู่ก่อนแล้ว
พวกเราไม่อยากกางเต็นท์เพราะขี้เกียจรื้อของ
ส่วนใหญ่ของสมาชิกจึงนอนต่อในรถ
บางส่วนใช้วิธีปูกราวชีทเพื่อนอนกับพื้น
แต่บริเวณนั้นยุงและรินเยอะมากๆ

เมื่อฟ้าสาง ก็ได้เห็นว่าเรามาพักอยู่ข้างลำธาร
เสียงน้ำใหลที่ได้ยินตลอดคืนคือเสียงน้ำตก
ฟ้าสว่างพอที่จะเดินไปหาต้นเสียง
ได้เจอกับน้ำตก จ๊อกกระดิ่น
น้ำตกสวยงาม น้ำเย็น
น่าเล่นเป็นที่สุด

เราไม่มีเวลาเยอะ
ต้องรีบเดินทางต่อ
เพื่อไปยังจุดเริ่มต้นเดิน

พวกเราเดินทางมาที่บ้านอีต่อง
หมู่บ้านชายแดนที่เคยเจริญถึงขีดสุด
ในสมัยที่เหมืองปิล๊อกยังคงมีชีวิต
แต่ในวันนี้ทุกอย่างได้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว

รับประทานอาหารเช้า ที่ร้านในบ้านอีต่อง
และเตรียมเสบียงสำหรับมือเที่ยง
ก็ได้เวลาเดิน

ทางเดินช่วงแรก
เป็นเส้นทางรถโฟร์วีลเก่า
ผ่านบริเวณที่เป็นท่อแก๊สไทยพม่า
ซึ่งจากข้อมูลที่เราเคยได้รับผ่านสื่อคือ
เส้นทางที่ท่อแก๊สผ่านนั้น
ป่าไม้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว

อยากบอกว่า อย่าเชื่อ
เพราะสิ่งที่เราได้เห็น
มันก็ยังโล่งๆเตียนๆ ไร้ต้นไม้
เหมือนๆกับที่ฝ่ายต่อต้านได้เคยบอกใว้

ผ่านจากช่วงแรกก็เริ่มเป็นเส้นทางเดิน
ที่ลัดเลาะไปตามยอดเขาต่างๆ
เป็นยอดเขาหัวโล้นๆ
ไร้ต้นไม้ใหญ่ มีแต่หญ้าคา
ร้อนมาก ถึงมากที่สุด แถมก็คันด้วย

ต้นไม้ใหญ่ที่พอจะมีอยู่ตามรายทาง
เหมือนโอเอซิส ที่ทุกคนต้องการเจอ
ภายใต้ร่มไม้ อากาศจะเย็นสบาย
ยิ่งมีลมพัดโชยมา บรรยากาศหน้านอนเล่นมาก

เราไม่ได้แค่คิด เราทำจริง
ณ. จุดพักก่อนถึงจุดพักแรม
พวกเราจึงทำการต้มน้ำ
ดื่มกาแฟ และดื่มด่ำกับบรรยากาศ
และนอนหลับ - สำหรับบางคน

หลังจากจัดการกับสัมภาระต่างๆ
แล้วพวกเราก็เตรียมการเดินขึ้นยอดเขา
ซึ่งถึงว่าเป็นจุดที่หวาดเสียวพอสมควร
เพราะทั้งซ้ายและขวาเป็นเหว
ทางเดินแคบและชัน เสี่ยงพอสมควร

บางครั้งก็คิดในใจว่า
เรากำลังทำอะไรกันอยู่
เพื่อความสวยงามที่อยากเจอ
นักพิชิต ใบประกาศนียบัตร
หรือว่า การพิสูจน์อะไร
ทำให้เราต้องนำพาตัวเองมาเสี่ยงกับอันตราย

หลังจากผ่านจุดที่อันตรายที่สุด
ที่เรียกว่าสันมีด
เส้นทางก็ไม่ได้หวาดเสียวน้อยลง
เราต้องมีสมาธิกับการเดินเป็นอย่างมาก

ทิวทัศน์ข้างบนสวย
แต่เสียดายที่ไม่ได้ติดกล้องขึ้นไป
เพราะตอนจะขึ้นฝนกำลังจะตกพอดี
ความสวยงามที่เห็น จึงเก็บมาฝากใครไม่ได้

จาดจุดยอด
เราสามารถมองเป็นรอบทิศ
ด้านหนึ่งจะเป็นวิวเขื่อนเขาแหลม
ด้านที่เหลือจะเป็นยอดเขาต่างๆที่เทือกเขานี้

ความตั้งใจที่จะอยู่เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน
ถูกยกเลิก
เกรงว่าหากมืด
อันตรายจากการเดินลงจะยิ่งทวีคูณ

แม้จะเป็นเส้นทางเดิม
แต่เรากลับคิด และลงความเห็นกันว่า
ขาลงอันตรายว่าขาขึ้น

อาหารมื้อเย็น
คือ ต้มยำปลากระป๋อง
ยำปลากระป๋อง ไข่เจียว
เนื่องจากบนยอดเขาไม่มีน้ำ
พวกเราจึงพยายามแบกของมาให้น้อยที่สุด
เพราะสัมภาระโดยส่วนใหญ่จะต้องแบกกันขึ้นมาเอง

จุดที่เราตั้งแคมป์
ลมแรงมาก อากาศดี
นอนฟังเสียงลมตีไฟล์ชีทจนหลับ


เช้าของอีกวัน
เพื่อนๆหลายคนยังเลือกที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอก
บนยอดเขาเดิม

ผมหลีกเลี่ยง
เลือกเดินย้อนกลับไปยอดเขาเดิม
ที่คาดว่าน่าจะได้ภาพที่สวยพอ

หลังจากอาหารเช้า
พวกเราก็เดินกลับ
ขากลับเดินง่ายกว่าขามา
แต่ร้อนกว่ามากๆ
ร้อนจนแสบผิวไปหมด

เราใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง
ก็มาถึงบ้านอีต่องจุดเริ่มเดิน
จัดการอาบน้ำอาบท่า
กินข้าว - ส่วนมากจะกินน้ำซะมากกว่า
แล้วเราก็อำลาบ้านอีต่อง
มุ่งไปสู่อุทยานแห่งชาทองผาภูมิ
เพื่อประทับตราพาสพอร์ท
และรับประกาศนียบัตร

แต่ปรากฏหัวหน้าอุทยานไม่อยู่ล
เจ้าหน้าที่จึงจะส่งตามมาทีหลัง

แล้วเราก็แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวของอุทยาท
ซึ่งเราพบว่ามันคือ วิวเดียวกัน
กับวิวที่เรามองเห็นจากการพยายามปืน
และฝ่าอันตรายขึ้นไปบนยอดเขา

บางคนถึงกับเปรยว่า
แล้วเราจะปืนขึ้นไปทำไม

ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีคำตอบ
ให้กับตัวเอง

วรพจน์ เคยเขียนใว้ว่า
ตอนที่เขามีโอกาสได้เดินทางร่วมกันกับ
มล ปริญญากร และ คุณ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ
คนหนึ่งบอกว่า ถ้าเลือกได้ เขาจะนอนบ้าน
อีกคนหนึ่งบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ผมจะนอนเต็นท์
คนแรกคือ มล ปริญญากร คนที่ต้องอดทนอยู่ตามป่าเขาดงดอย
เพื่อถ่ายภาพสัตว์ป่า คนหลังคือ สุทธิพงษ์ แห่งคนค้นคน

แล้วคำตอบของผมละ ?







Wednesday, June 06, 2007

เราได้ทำอะไรลงไป

ในยุคสมัยที่กระทรวงศึกษาและกระทรวงวิทยาศาสตร์ต่างเป็นเจ้าภาพ
ในการสร้างวัตถุมงคล คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมา

What we've done

ทุกๆเช้าและเย็น คำถามนี้จะถูกตอกย้ำ ด้วย
มิวสิดวีดีโอ ของ Linkin Park เพลง
What I've Done
ที่ถูกกระหน่ำเปิดในรถไฟฟ้า BTS

เนื้อหา(ซึ่งผมฟังไม่ออกหรอก)ร้องว่า

In this farewell
There’s no blood
There’s no alibi
‘Cause I’ve drawn regret
From the truth
Of a thousand lies

So let mercy come
And wash away
What I’ve done

I’ve faced myself
To cross out what I’ve become
Erase myself
And let go of what I’ve done

Put to rest
What you thought of me
Well I cleaned this slate
With the hands
Of uncertainty


For what I’ve done
I’ll start again
And whatever pain may come
Today this ends
I’m forgiving what I’ve done

What I’ve done
Forgiving what I’ve done


ยิ่งเรื่องราวในมิวสิควีดีโอ
มันสะท้อนถึงสิ่งที่เรากำลังเผชิญ
และดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่เผชิญร่วมกันทั้งโลก

แต่เรายังไม่จำเป็นต้องไปไกลขนาดนั้น

หลังคดียุบพรรคผมมีโอกาสเจอรุ่นพี่
ท่านเคยผ่านตำแหน่งทางการเมืองมามากมาย
ไล่ตั้งแต่ สส ธรรมดา ไปจนถึงรองนายกรัฐมนตรี
เคยคุมกระทรวงหลายๆกระทรวง และหนึ่งในนั้นคือ
กระทรวงศึกษาธิการ เพราะท่านเคยเป็นครูมาก่อน

ท่านเป็นหนึ่งในคณะกรรมการพรรค ซึ่งถูกตัดสินโทษ

หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป
อำนาจมาแล้วก็ไป
คนที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังท่าน
ถึงวันนี้ ไม่มีเงาของใคร
เหลือใว้เพียงตัวท่านตัวคนเดียว
และสิ่งหนึ่งที่น่าจะอยู่กับตัวท่านคือ
What I've Done
ถ้ามั่นใจและเชื่อมั่นว่าทำดี ทำถูก
ก็ย่อมมีสุข แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
แต่หากเป็นตรงกันข้าม
ก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองได้สร้างใว้

ผมไม่แน่ใจว่าขณะนี้รุ่นพี่ท่านนี้รู้สึกอย่างไร
เพราะเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นถามในรายละเอียดได้
ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่เคยเจอะเจอกันตามวาระโอกาสเท่านั้น
อย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ ท่านกำลังมีบางอย่างในใจ
ก็แน่นอนแหละ คนที่เพิ่งผ่านเรื่องระดับนั้นมา
คงต้องใช้เวลาสำหรับคิดอะไรกันบ้าง

ถัดจากเจอรุ่นพี่ท่านนี้ไปสองวัน
เพื่อนๆนัดกันไปทานข้าว
ปาร์ตี้ซีฟูดบาร์บีคิว
นัดแนะกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง
แค่ฟังสถานที่คำถามก็เกิดขึ้นว่า
มันเป็นการปาร์ตี้ถูกช่วงเวลาแน่หรือ

เพราะนั่นคือบ้านเพื่อน ที่พ่อของเธอ
ประสบชะตากรรมเดียวกับรุ่นพี่ที่เพิ่งเล่าให้ฟัง

ตลอดเวลาที่พวกเพื่อนๆช่วยกันปิ้ง ย่าง และช่วยกันกิน
ไม่มีใครกล้าถามหรือพูดเรื่องที่เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง
ไม่มีใครตั้งใจ และคงเป็นการหลีกเลี่ยงโดยอัตโนมัติ


ปล.
1. จบห้วนๆ แบบนี้แหละ เพราะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
ช่วงนี้งานเยอะ เดี่ยวโดนเจ้านายดุ
2. ขอบคุณ foneko สำหรับการแก้คำผิด เสาร์-อาทิตย์นี้พี่ก็จะไปเดินป่าอีก
ถ้ากลับมาแล้วอยากไป ก็บอกมา จะพาไปเดินที่ง่ายๆ สวยๆ อ้อ พี่ๆอยากไปเที่ยววังเวียงกันอีกแล้วแหละ
3. ไม่สามารถเขียนเรื่องการแต่งงานตามคำขอของพี่ยุ้ยได้
เพราะว่าการเขียนเรื่องแบบนั้น ต้องมีบุคคลที่สอง และ ที่สาม
อาจจะโดนฟ้องร้องได้ แต่จะบอกพี่ว่า ก็คิดมากไปตามประสานั่นแหละ
อ้อ คิดคนเดียวด้วยครับพี่ บุคคลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ไม่รู้เรื่องสักคน
คิดเอง เออเอง งงเอง และก็ตัดสินใจเอง 555