Thursday, October 27, 2005

ทบทวน 01 - กิเลส

เขา(คนเขียนหนังสือ มั้ง)บอกว่า
กิเลสหยาบๆ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 10 ประการ

๑. ความมักมากในการบริโภค
๒. ความมักมากในการพูดจา
๓. ความโกรธ
๔. ความอิจฉา
๕. ความตระหนี่
๖. ความหลงอำนาจ
๗. ความหลงโลก
๘. ความหยิ่งยโส
๙. ความลำพอง
๑๐. ความโอ้อวด


ข้าพเจ้าก็เริ่มมานั่งทบทวนตัวเอง
ว่ากิเลสของฉันมันหนามันบางในข้อไหน


- ความมักมากในการบริโภค -

ข้อนี้เป็นปัญหาบ้างในบางโอกาส
เดือนถือศีลอดก็ทำให้กิเลสนี้บรรเทา
หรือเบาบางลงไปได้ระดับหนึ่ง
แต่สำหรับเดือนอื่นๆ ก็จะมักมากบ้าง
โดยเฉพาะเวลาไปกินบุฟเฟ่ต์

ถ้าเราตีความคำว่าบริโภคให้เลยเถิดไปกว่าการกิน
กิเลสข้อนี้จึงไม่ค่อยสร้างปัญหากับข้าพเจ้ามากนัก



- ความมักมากในการพูดจา -

กิเลสข้อนี้ของข้าพเจ้าหนามากๆ
เพราะข้าพเจ้าช่างขยันพูดเสียจริงๆ
พูดไปเรื่อย วิจารณ์ไปเรื่อย
และก็ในทางกลับกัน เมื่อข้าพเจ้าไปอยากจะพูด
ข้าพเจ้าก็ทำตัวราวกับว่าไม่เข้าใจภาษามนุษย์ซะงั้น

กิเลสข้อนี้จำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาโดยด่วน



- ความโกรธ -

ข้าพเจ้าอารมณ์ดี เป็นส่วนใหญ่
ไม่ค่อยถือโทษโกรธใครนาน
อย่างมากก็ไม่เกินสามวัน

จะมียกเว้นบ้าง ก็เป็นบางคน
อิอิอิ



- ความอิจฉา -

ตอนนี้ก็คงมีเรื่องอิจฉาชาวบ้านเขาเรื่องเดียวแหละ
ทำไม ! เขาจึงได้แต่งงานกันฟะ
พระเจ้า ลืมผมหรือเปล่า !!!

ส่วนเรื่องอื่น ม่ายค่อยมี



- ความตระนี่ -

ถ้าข้อนี้จำกัดความในเรื่องของน้ำใจ
กิเลสข้อนี้ของข้าพเจ้าก็น่าจะบางๆ
แต่ถ้ามันหมายรวมถึงการไม่รู้จักบริหารการเงินด้วย
กิเลสของข้าพเจ้าก็หนาแบบกลางๆ



- ความหลงอำนาจ -

ไม่มีอำนาจให้หลง
ถือว่าเป็นโชคดีไม๊นะ



- ความหลงโลก -

อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจความหมายมากนัก
ถ้าหมายถึงการสนใจแต่วัตถุ
กิเลสของข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยหนา
แต่ถ้าหมายถึงการพยายามหาที่เที่ยว
อันนี้ข้าพเจ้าคงตกในกิเลสนี้อย่างหนัก



- ความหยิ่งยโส ความลำพอง และ ความโอ้อวด -

ความลำพอง คือ ชื่นชมในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนมี
ความโอ้อวด คือ จะนำสิ่งที่ตนมีอยู่นั้นออกมาแสดงให้คนอื่นเห็น
ความยโส คือ คิดว่าตนเองมีอะไรดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอื่น

สามข้อนี้ ต้องพยายามขัดเกลาตัวเองเยอะๆ

Wednesday, October 26, 2005

อนาคตอันเก่าแก่

วิกฤติการณ์ในยุคปัจจุบันของเราคือ
หายนะที่เกิดขึ้นจากมนุษย์เดินสวนทางกับธรรมชาติ
ด้วยความหลงผิด

จาก อนาคตอันเก่าแก่
Ancient Future : Learning from Ladakh
เฮเลนา นอร์เบอร์ก-ฮ๊อด เขียน
พจนา จันทรสันติ แปล


...๑ ...


นี่คงเป็นการอ่านที่ไม่ใช่เพื่องานในรอบหลายๆเดือน
อนาคตอันเก่าแก่ เป็นหนังสือท่องเที่ยว
ลาดักซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจัมมูและแคชเมียร์
เพื่อนสนิทให้ยืมอ่านเมื่อหลายเดือนก่อน
เหตุผลก็คือ พวกเราวางแผนกันว่า
จะไปเที่ยวดินแดนแถบนี้

จากวันนั้นจนถึงวันนี้
ฉันไม่สบโอกาสที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้
ไม่พักต้องพูดถึงโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวตามแผน

ตอนนี้เพื่อนคนนี้อาจจะกำลังเดินเล่น
หรือนั่งมองผู้คนอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก
และมันอาจจะเป็นที่นี้ก็ได้
เมืองเลย์หรือลาดัก ดินแดนธิเบตน้อย



...๒...

ลาดักไม่ได้เล็กๆแบบในหนังสือที่เราอ่านกันหรอกนะ
เพื่อนคนหนึ่งพูดสัมทับในวันที่เรากำลังนั่งดูรูปที่เขาถ่ายมา
เพื่อนคนนี้เคยไปเยีอนที่นี้เมื่อปีที่แล้ว
เพื่อนคนนี้บอกทุกว่าน่าจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง

ฉันพูดติดตลกว่า หากเป็นไปได้
ฉันก็อยากจะมีโอกาสไปเยือนทุกๆที่บนโลกนี้
เพียงแต่ทรัพยากรณ์เวลา และเงินตรา อันจำกัดของฉัน
มันทำให้ฉันต้องเลือกไปที่ชอบ ที่ชอบ เท่านั้น
ซึ่งฉันยังไม่แน่ใจว่า ลาดัก เป็นที่ชอบ ที่ชอบในดวงใจหรือยัง
เพราะฉันไม่ชอบ วัฒนธรรมประดิษฐ์
หรือวิถีชีวิตแช่แข็ง(สตัฟท์)เพื่อการท่องเที่ยว


...๓...

ตอนที่ฉันเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในพม่าเมื่อปีที่แล้ว
ฉันรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของดินแดน
ที่วัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม
ยังไม่สามารถทลาย หรือถึงขั้นทำลาย
วิถีชีวิตแบบดั่งเดิมของผู้คนลงไป

เราจึงไม่ค่อยเจอวัฒนธรรมประดิษฐ์ หรือวิถีชีวิตสตัฟท์

ผู้เขียน อนาคตอันเก่าแก่ ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น
ได้อีกครั้ง ในการการภาคแรกของหนังสือเล่มนี้

เมื่อมาถึงภาคที่สอง
ผู้เขียนก็กำลังบอกเล่าให้เห็นในสิ่งที่ฉันและใครๆ
ก็ย่อมจะคาดเดาได้อย่างง่ายได้
ตัวอย่างของการล่มสลายลงไปของหลายๆสิ่ง
เมื่อกระแสบริโภคนิยมแบบสมัยใหม่
เริ่มก่อตัวและฝั่งรากลึก
มีอิทธิพลต่อทุกลมหายใจ



ปล.

ฉันจะจบบันทึกแบบไม่สมประกอบแบบนี้แหละ
เพราะเรื่องมันยาว ใว้เมื่อไหร่ฉันได้ไปเยือนจริงๆ ค่อยมาเขียนใหม่


- - - - - -

แม้แต่ผู้ที่มีอาชานับร้อย
ก็อาจต้องขอยืมแส้จากผู้อื่น

สุภาษิต ลาดัก

Tuesday, October 25, 2005

Love - Big Love - Great Love

Love ใช้เวลา 2 อาทิตย์ในการลืม
Big Love ใช้เวลา 2 ปี ในการลืม
Great Love จะเปลี่ยนแปลงเราไปทั้งชีวิต


จำมาจากหนังเรื่องหนึ่ง
หนังที่ไม่รู้ว่าชื่อเรื่องคืออะไร

เห็นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก
จึงนั่งดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

อีกประโยคหนึ่งที่จำได้รางๆคือ

เราอาจจะรักใครมาตลอดทั้งชีวิต
แต่เราก็ไม่เคยรู้สึก
จนวันหนึ่ง
เมื่อมีเรื่องมากระทบ

ระหว่างนั่งทบทวนตัวเอง
และอ่านหนังสือธรรมมะ
ก็แอบเปิดทีวีนิดหน่อย
โดยใช้ข้อแก้ตัวว่า ฝึกภาษาปะกิด
(แต่อ่านซับไตเติ้ลตลอดเวลา หุหุหุ)

Wednesday, October 19, 2005

ความมั่นคง

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า
อะไรกันหรือที่เรียกว่า ความมั่นคง
และ ความมั่นคงด้วยตัวมันเองนั้น
จะเหมือนหรือต่างจาก ความรู้สึกมั่นคง

มีคนแนะนำให้ข้าพเจ้าซื้อบ้านหรือทำอะไรก็ได้
ที่ออกไปในแนว เป็นหนี้
และ หนี้ก็ก้อนโตเสียด้วย

ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นด้วยกับทุกๆความหวังดี
แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง
เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่า
การงาน อาชีพ หรือ รายได้ของข้าพเจ้า
มันไม่มีความมั่นคง

ข้าพเจ้าจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ทำไมข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่า
มันไม่มั่นคง

ทั้งๆที่ในขณะเดียวกันนี้
เพื่อนๆ ร่วมงานก็เป็นหนี้
ผ่อนบ้านผ่อนรถกันทุกคน
จะมียกเว้นก็ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว

คำตอบหนึ่งที่ข้าพเจ้าคิดได้คือ
งานของข้าพเจ้าเป็นประเภทลมเพลมพัด
นักการเมืองจะพัดไปทางไหนก็ได้
วันนี้พูดอย่าง วันรุ่งขึ้นพูดอย่าง
ไม่มีความแน่นอนอะไรเลย
เพราะฉะนั้น มันจึงมีสิทธฺ์เจ๊งได้ทุกเมื่อ

ส่วนคำตอบอื่นๆข้าพเจ้าก็จะพยายามหาต่อไป

Tuesday, October 18, 2005

ความสามารถพิเศษ

ร้องเพลงเพี้ยนๆ หรือ อ้าปากตามเพลงได้
เต้นรำตามอำเภอใจ หรือ เต้นมั่วๆ
แสดงเป็นท่อนไม้ หรือ แสดงเป็นนกแก้วนกขุนทอง
เล่นดนตรีให้พอมีเสียง หรือ แค่ทำท่าให้เหมือน

พุทธศักราชนี้
เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า
ความสามารถพิเศษ

ส่วนฉัน คนโบราณ
แค่ตื่นเช้าๆ ไปเรียน
อยู่ในกฏในระเบียบ
ทำการบ้านส่งให้ทัน
อ่านหนังสือสอบให้ผ่าน
ใช้สอยอย่างมัธยัสถ์ รู้จักอดออม
ช่วยงานที่บ้านบ้างตามที่แม่ขอร้อง
ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้คนรอบข้าง
รักทั้งคน สัตว์และสิ่งของ
แค่นี้ฉันก็ทำได้ไม่ค่อยครบเลย

ฉันจึงอยากรู้ว่า
บรรดาผู้มีความสามารถพิเศษทั้งหลาย
ทำยังไงถึงเก่งเรื่องธรรมดาๆ ได้ทุกคน

แล้วเมื่อไหร่มีการประกวด
ความสามารถธรรมดาๆ กันบ้าง
ฉันจะสมัครเป็นผู้ชื่นชมคนแรกๆ


อ้อ ฉันนึกออกอย่างหนึ่ง
รายการ คนเก่งหัวใจแกร่ง ไง
รายการที่เสนอความสามารถธรรมดา
ของคนธรรมดา คนที่ลำบากจนเป็นเรื่องธรรมดา
ความสามารถที่จะไปโรงเรียนให้ได้
ความสามารถที่จะหาข้าวกินให้ได้
และความสามารถที่จะดูแลตัวเองให้ได้
ความสามารถธรรมดา ธรรมดา
แบบนี้แหละ ที่ฉัน ชื่นชม

แล้วอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ฉันสรุปเอาเองว่า
เพราะความอยาก(สามารถ)พิเศษนี่แหละ
ที่ทำให้เดี่ยวนี้ เรามักจะพ่ายแพ้ต่ออะไรที่มันธรรมดาๆ
พ่ายแพ้ต่อเรื่องที่มันไม่น่าจะเกิด
กลายเป็นความพ่ายแพ้ที่คนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เช่น ฆ่าตัวตายเพราะฟนไม่รับโทรศัพท์ ...
(ตัวอย่างนี้ฉันสมมุติ และอยากให้เป็นเรื่องสมมุติตลอดไป)

Saturday, October 15, 2005

รักภาษาอะไร

ยากที่จะบอกว่า
อะไรทำให้คนรักกัน

แล้วการเลิกรักกัน
มันพอจะหาเหตุและปัจจัยได้ฤา

นี่คือเรื่องหนึ่ง
ที่ฉันชอบที่จะนั่งขบคิด
และพิจารณา

แน่นอนมันไม่มีคำตอบ
แต่ฉันก็ต้องพยายามลอกเปลืก
ความรู้สึกของตนเองต่อไป

Friday, October 14, 2005

รักไม่มีพรมแดน

รักไม่มีพรมแดน
รักไม่มีเหตุผล
รักไม่มีศาสนา


แต่


ชีวิตคู่ต้องการเหตุผล
ความเชื่อมีพรมแดน

และ

วิถีชีวิตขึ้นอยู่กับศาสนา


นี่คือความรู้สึกของวันนี้
ขณะที่นั่งมองดูชีวิตคู่ของพี่ที่งาน

คู่แรก ผู้ชายเป็นมุสลิม
แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นมุสลิม

คู่ที่สอง ผู้ชายไม่ใช่มุสลิม
แต่งงานกับผู้หญิงมุสลิม

คู่ที่สาม ผู้ชายเป็นมุสลิม
แต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นมุสลิม

แม้วันนี้ทุกคู่จะอยู่ในสถานถาพเดียวกัน
คือ เป็นมุสลิม ทั้งสองคน

แต่ มันก็ไม่เหมือนกัน


คุณพอจะเข้าใจสิ่งที่ผมอยากเล่าไหม !

Thursday, October 13, 2005

ฝนผ่านไป

ลมหนาวมา









ฉันเหมือนฟ้า...

ไม่เคยเปลี่ยน

Friday, October 07, 2005

อยู่กับร่องกับรอย

ตั้งเวลาปลุกใว้ตีสอง
โดยความมุ่งมั่นจะตื่นมาสวดมนต์
แล้วค่อยนอนต่อเพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อนกินข้าวตอนเช้า
อ่านคัมภีร์ แล้วก็ไปออกกำลังกายเล็กน้อย
ก่อนจะไปเริ่มงานในตอนเช้า

ทั้งหมดคือร่องที่วางใว้

กว่าจะได้นอนเกือบตีสอง
ไม่ได้ยินเสียงปลุกสักครั้ง
ตื่นแบบสะโหลสะเหล
ไปทำงานเกือบแปดโมง

นั่งทำงานไปจนกว่า
นาฬิกาจะเดินไปถึงเลข 12
เป็นครั้งที่สอง

ไม่ต้องพักเที่ยง
ไม่ต้องเบรคทานกาแฟ

เวลาทั้งหมดคือ
งาน งาน งาน

นี่เรากำลังสร้างรอยชีวิต
แบบไหนให้กับตัวเองกันเหรอเนี่ย

Tuesday, October 04, 2005

ถือศีล

พรุ่งนี้จะเริ่มถือศีลเป็นวันแรก
และก็จะถือติดต่อกันไปอีกหนึ่งเดือน

เดือนนี้จะไม่มีมารร้ายมาคอยยุยง
ให้เราหลงไปทำสิ่งไม่ดี สิ่งไม่ถูก หรือสิ่งที่ถูกห้าม

เพราะฉะนั้นหากเราทำอะไรดังกล่าวลงไป
ก็สรุปได้ไดยไม่ต้องโทษดินฟ้าอากาศเลยว่า

เรามันไม่ดีด้วยตัวเอง