Wednesday, July 25, 2007

ความสุขเล็กๆ

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
กลับไปเที่ยวทองผาภูมิอีกรอบ
แต่คราวนี้ไม่ได้ต้องการไปเดินเขาช้างเผือก
แค่ตั้งใจไปนอนชมทะเลหมอกๆ
ความสุขพอเพียง ขนาดเล็กๆน้อยๆ




เต็นท์ของ พ่อ - แม่
และลูกอายุประมาณสองขวบ

ความสุขเล็กๆ
ที่น่ารักในสายตาผม




บ้านทาร์ซานหลังที่หนึ่ง
ได้หนังสือสักเล่ม
นอนอ่านเงียบๆ
ฟังเสียงลมเสียงนก

ความสุขเล็กๆ





ตื่นเช้าหรือตื่นสาย
ทะเลหมอกก็ไม่ขี้อาย
รอให้เจอได้ตลอดเวลา

นั่งชมวิวเงียบๆ พร้อมกาแฟอุ่นๆ

ความสุขเล็กๆ




ท้องฟ้า
ป่าไม้
ทะเลสาบ
สายหมอก
ธรรมชาติที่ผสมกันลงตัว
สวยงาม ชื่นใจ

ความสุขเล็กๆ




เสียงน้ำตก แม้จะดัง
แต่ไม่น่ารำคาญ

นอนแช่น้ำเย็นๆ
ฟังเสียงน้ำตก
คุยกับมิตรสหาย
ความสุขง่ายๆ



บางวัน
ฉันก็เชื่อว่า
ความสุข
หาง่าย


ยิ่งเป็นความสุขเล็กๆ
ของมนุษย์ไซน์เล็ก
แต่พุงใหญ่
อย่างฉัน

Thursday, July 19, 2007

สงสัยไร้สาระ 3001 ถึง 3003

สงสัยไร้สาระ 3000 : กลัวหรือใจเย็น

พี่สาวเล่าให้ฟังว่า

พี่ชายถูกเด็กรุ่นน้องพุ่งเข้าหา
ตั้งใจหมายว่าคงจะเข้ามาชกหน้า
เพราะเด็กรุ่นน้องไม่พอใจ
กับการจัดการปัญหาของพี่ชายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน
พี่ชายเอามือตบไปที่ปืนตามสัญชาติยาน


ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของใคร
ที่เหตุการณ์มันหยุดแค่นั้น

พี่สาวเล่าด้วยท่าทีมีโมโห
แถมตบท้ายว่า หากใครทำร้ายพี่ชาย
พี่สาวจะต้องทำการตอบโต้อย่างเท่าเทียม

พี่ๆคนอื่นๆก็คิดและรู้สึกไม่ต่างจากกัน
ทั้งๆที่ปกติแต่ละคนก็ไม่ค่อยปรองดองกันเท่าไหร่
มีแต่ผมที่ปรองดอง และดูเป็นพวกของทุกๆพี่

ก่อนจบเรื่องเล่า พี่สาวย้ำว่า
เอ็งก็เหมือนกัน อย่ายอมให้ใครทำร้าย
ต้องสู้ อย่ากลัวคน

ตั้งแต่จำความได้
ผมพยายามฝึกให้เป็นคนใจเย็น
เพราะผมเชื่อว่า หากเราใจเย็น
มันคงจะสร้างปัญหาให้กับชีวิตน้อยลง

แต่วันนั้น หลังเรื่องเล่าของพี่สาว
ผมกลับมาถามตัวเองใหม่ว่า
หรือว่าจริงๆแล้วผมไม่กล้าสู้คนอื่น
เลยปลอบตัวเองว่า เป็นคนใจเย็น
และรู้จักให้อภัย


- - - - - - -


สงสัยไร้สาระ 3002 : ไม่อยากแข่งขัน หรือ กลัวแพ้กันแน่

หลังจากสอบเข้าเรียนต่อมหาลัยได้สำเร็จ
ผมเกิดความรู้สึกว่า พอแล้วสำหรับการแข่งขัน
ผมไม่ชอบการแข่งขัน เพราะผมไม่ชอบการพ่ายแพ้
และผมก็ไม่อยากชนะอีกต่อไป

ผมหลงเชื่อมาอย่างนี้ ตลอดมา

แต่ถึงวันนี้ ข้อสงสัยนี้มันกลับมาใหม่
หรือว่า จริงๆแล้วที่ผมหลีกเลี่ยงการแข่งขันทุกชนิด
เพราะผมไม่มั่นใจอีกต่อไปว่าผมจะชนะ
และเมื่อไม่มั่นใจว่าจะชนะ ผมก็หนีมัน
เพราะผมกลัวความพ่ายแพ้

ต่างจากอดีต ในสมัยเด็กๆ
ผมมั่นใจ และเชื่อมันในศักยภาพ
จนไม่เคยกลัวการแข่งขัน
อะไรมันทำให้ความรู้สึกแบบนั้น
มันไม่อยู่กับผมอีกแล้ว

เป็นการพัฒนาตัวเอง
หรือถอยหลังเข้าถ้ำกันแน่

อย่างหนึ่งที่มันได้มาความคิดแบบนี้คือ
ผมเป็นคนสุภาพมากกว่าสมัยที่ยังเชื่อมันในตัวเองอย่างนั้น

ตอนนี้ก็แค่สงสัยว่า
ทำไมข้อสงสัยนี้มันถูกยกกลับมาใส่หัวอีกครั้ง

ตกลงผมกลัวแพ้ หรือ ไม่อยากลงแข่ง
เพราะไม่อยากแข่งขันกันแน่

สองความรู้สึกนี้
ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ



- - - - - - -

สงสัยไร้สาระ 3003 : โค้กซีโร และ เป็บซี่แม็ก


โฆษณามันก็มีผลต่อผมเหมือนกันนะเนี่ย
เพราะจู่ๆผมก็อยากทดลองชิมโค้กซีโร
หลังจากชิม ก็ติดใจ และก็ติดซะงั้น

แต่ด้วยความที่รักเป็บซี่มากกว่า
ก็หงุดหงิดใจว่า ทำไมเป็บซี่ไม่ทำเป็บซี่ซีโร่บ้างฟระ

แหะแหะแหะ

ฉลาดน้อยไปหน่อยเนอะ

หลังจากชอบโค้กซีโร่และหงุดหงิดเป็บซี่เป็นสองอาทิตย์
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เป็บซี่ซีโรที่อยากได้คือ เป็บซีแม็กนั่นเอง
เป็บซี่ผลิตได้ตั้งนานแล้ว โค้กเพิ่งฉลาด

แทนที่จะโกรธที่ตัวเองที่นึกออกช้า...มาก
กลับไปโมโหเป็บซี่ซะอีกว่า
ทำไมไม่ตั้งชื่อให้เข้าใจง่ายๆแบบโค้กฟระ
โค้กซีโร ฮาร์ดเซลล์มากๆๆ
เป็บซีแม็กซ์ไม่เห็นบอกอะไรเลย

ว่าแล้วเพื่อคลายความสงสัย
ก็เลยซื้อเป็บซี่แม็กซ์และโค้กซีโร่ ขนาด 1.25 ลิตร
กลับมานั่งชิม แบบสลับกันชิมเลยนะ
แบบว่าให้โอกาสเป็บซี่อีกครั้ง ในฐานะของคนรุ่นใหม่

ก็สรุปว่า งานนี้ชอบโค้กมากกว่าหน่อยนึง

ใครผ่านมาอ่านเรื่องนี้คงงงว่า
เรื่องปัญญาน้อยแบบนี้
อุตส่าห์ไปจริงจังกับมันได้

ก็นี่แหละผ้มมมมมม ของแท้
ไม่รู้เป็นอะไร ชอบจริงๆ
เรื่องไร้สาระแบบนี้

Wednesday, July 18, 2007

หนังสามเรื่อง หนังสือสามเล่ม

ตั้งชื่อมันง่ายๆแบบนี้แหละ


หนังสือเล่มแรก : See You Again

เรื่องเล่าการเดินทางท่องเที่ยวของ ฐิติยา พจนาพิทักษ์
เธอเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟจากกทมไปอุดรธานี
เข้าลาวทางเวียงจันทร์ เพื่อมุ่งสู่วังเวียง
จากนั้นก็เดินทางสู่หลวงพระบาง
เลยไปดูทุ่งไหหินที่เชียงขวาง

เข้าสู่เวียดนามที่เมืองวินห์
มุ่งสู่ฮานอย เที่ยวฮาลองเบย์
เลยขึ้นเหนือไปเที่ยวซาปา
แวะกลับลงมาใต้ที่เมืองเว้ ฮอยอัน
นั่งเครื่องบินสู่โฮจิมินท์

เข้าสู่กัมพูชา เมืองพนมเปญ
แล้วก็เข้าสู่เสียมเรียบ นครวัด
จึงกลับเข้าไทย

เส้นทางที่ว่ามาทั้งหมดเธอเดินทางคนเดียว
ภายในทริปเดียว ใช้เวลาเป็นเดือน

ผมต้องใช้ 3 ทริป สำหรับเส้นนี้
นอกจากลาวแล้ว ที่เหลือผมก็เที่ยวกับเพื่อนๆ

คำถามคือ ฐิติยา เป็นใคร
ทำไมเลือกเที่ยวแบบนี้
และทำไมจึงเลือกมาเขียนหนังสือเล่าให้คนอื่นอ่าน

คำตอบคือ ไม่รู้ 555
ฐิติยา เป็นผู้หญิงห้าวๆคนหนึ่ง
ที่เรียนคณะนิเทศแถวสามย่าน
ครั้งแรกที่รู้จักผู้หญิงคนนี้
ก็ตอนไปรับน้องชมรม ที่ต่างจังหวัด

เหมือนกับว่าเธอจะไม่เคยเปลี่ยน
แข็งนอก อ่อนใน

ผมรู้สึกว่าภูมิต้านทานเธอไม่น่าจะต่ำขนาดที่
ช่วงท้ายๆของการท่องเที่ยว
เธอเกิดอาการเป๋ๆ

โดยรวมของหนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมาก

อ้อ เพิ่งรู้อีกเรื่องคือ เธอสนิทกับ เชาวเลข สร่างทุกข์
ก็ตอนที่ได้อ่านคำนิยมที่เขียนเอาใว้
นึกภาพออกเลยว่า วงสนทนา ของพวกเขาจะเป็นยังไง



หนังสือเล่มที่สอง : เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน

เขาเขียนนิยามใว้ว่า เมื่อเด็กติ๋มออกตามหาความ cool ไกลถึงชมพูทวีป
เขียนโดย ใบพัด

คำถาม : เขาไปไหนมาบ้าง เหรอ
คำตอบ : เดลี - ทัชมาฮาล- มะนาลี-ธรรมศาลา
คำถาม : เขียนดีไม๊
คำตอบ : อ่านเรื่องที่เพื่อนๆเล่าในเว็ปสนุกกว่า แถมรูปสวยกว่า
เพราะถิ่นที่เขาไปนะ เพื่อนๆในเว็ปเขาไปจนพรุนแล้ว
มีทั้งแบบไปแบบเท่ห์ๆ และไปแบบทัวร์เต็มรูปแบบ
มันเหมือนกับว่า เขาเขียนกันจนช้ำหมดแล้ว
แต่ก็อาจจะเหมาะกับเด็กแบบอะเดย์นะ

ปล. ใครถาม ใครตอบ และใครอยากรู้คำตอบไม่ทราบครับเพ่



หนังสือเล่มที่สาม : อัมสเตอร์ดัม เพื่อน และจักรยานที่ขโมยมา

กรกฎ พัลลภรักษา ชื่อนี้รับประกันงานเขียนแนวท่องเที่ยว
เล่มนี้ซื้อมานานแล้ว
เพิ่งได้มีโอกาสหยิบมาอ่าน
ระหว่างอ่านเพลิน ดูรูปสวยๆ
แล้วก็เพิ่งได้ความรู้ใหม่ว่า
เจ้าอาบอบนวดอัมสเตอร์ดัม ที่อยู่ตรงสี่แยกพระรามเก้า
หน้าตามันเหมือนอาคารที่ปรากฏในรูปของหนังสือเล่มนี้

สรุปคือ ถ้าอยากเห็นสถาปัตยกรรมแบบอัมสเตอร์ดัม
ก็ให้ไปดูอาบอบนวดที่ว่า 555

ไม่เกี่ยวกันเลยเนอะ



หนังเรื่องแรก : Transformer

ยังงง งง เหมือนกันว่า ทำไมอยากดูหนังเรื่องนี้
วันศุกร์ก่อนโน้นอุตส่าห์ไปทำตามกระแส
ไปถึงโรงหนังประมาณหกโมง รอบก่อนสองทุ่มครึ่ง ถูกจองเต็มหมดแล้ว

ดูหนังเสร็จ งง งง ต่อว่า
มันสนุกไม๊อะ

คือถามเอง
แต่ตอบไม่ได้

ถึงตอนนี้ผ่านมาสองอาทิตย์ก็ยังตอบไม่ได้ว่า
ตกลงมันสนุกไม๊อะ

ถามว่า มันไม๊
อาจจะตอบง่ายว่านะเนี่ย

งงๆ ว่าพวกหุ่นยนต์ฝั่งพระเอกนะ
ทำไม๊ ไม่เลือกแปลงเป็นอะไรที่เท่ห์ๆหน่อย
เลือกเป็นรถดับเพลิง รถบรรทุก
ในขณะที่พวกคนร้ายเลือกเป็นเครื่องบินไอพ่น

แต่ก็เนอะ เรื่องนี้มันสมัยเราเด็กๆนิ
สมัยนั้น ใครๆก็อยากมีหุ่นยนต์แบบนี้ทั้งน้านแหละ
รถบรรทุก ที่แปลงเป็นหุ่นยนต์ได้
โคตรล้ำเลย

แต่พอศอนี้ มันเชยเนอะ
ถ้าทำได้แค่นั้น


หนังเรื่องที่สอง : Die Hard 4

ก็เพราะได้ดูหนังตัวอย่างนั่นแหละ
ก็เลยทำให้อยากดูเรื่องนี้
ก็เล่นเอาเครื่องบินรบมาขับไล่พระเอกใต้ทางด่วน
แบบว่า มันบู๊แบบลูกทุ่งดี

ดูจบ ก็สรุปว่า มันไม่เป็นแบบหนังตัวอย่าง
พยายามจะทำหนังแฮกเกอร์
ซึ่งดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่

ที่สนุกก็ส่วนที่บู๊แบบลูกทุ่งตามหนังตัวอย่างนั่นแหละ


หนังเรื่องที่สาม : Priceless

หนังฝรั่งเศส นางเอกเรื่องเอมิลี่
เป็นหนังตลกแบบฝรั่งเศสแน่ๆ
เพราะฝรั่ง(เศส)ที่นั่งถัดไปสองที่ ขำตลอดเวลา
เราก็ แหะ แหะ แหะ

เปิดมาตอนแรกนึกว่าจะมาแบบ พริตตี้ วู้เมน
หรือว่า ละครน้ำเน่าของไทย
ที่หลอกกันไป หลอกกันมา
ประมาณว่าเด็กเสิร์ฟ รักกับไฮโซ ทำนองนั้น
แต่หนังก็หักมุมพอไม่ให้เน่าเกินไป

รวมๆ ก็สนุกดี
หนังรสชาดอีกแบบ
ไม่หวานเลี่ยนแบบสไตล์ฮอลลีวูด
แต่ก็มีอารมณ์เสร่อๆ พอให้รู้สึกได้นะ

Friday, July 13, 2007

Lijiang - นั่งม้าเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก



เมืองลี่เจียงในวันที่มีฝน



ลานกลางเมืองยามค่ำคืน




เริ่มต้นขี่ม้าไปหาภูเขามังกรหยก



ลานที่เห็นภูเขาหิมะมังกรหยก







กำลังเจรจาเพื่อจะไปเหยียบหิมะ






ภูเขาหิมะมังกรหยก







ถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน



- - - - - - - - -

ก่อนเข้านอนที่เมืองต่าลี่
พวกเราสรุปโปรแกรมคร่าวๆของวันรุ่งขึ้นดังนี้

09.20 น. ขึ้นรถไปลี่เจียง
12.00 น. ถึงลี่เจียง นั่งรถเมล์ไปเมืองเก่าที่เรียกว่า ต้าหยัน หาที่พัก
13.00 น. เที่ยวสระมังกรดำ หรือนั่งรถเมลล์สาย 6 ไปหมู่บ้านไป๋ซา

แต่เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นคือ

07.00 น. ตื่นนอน จัดกระเป๋า
08.00 น. ออกไปเดินเล่น
09.00 น. กระหืดกระหอบกลับมาที่พัก
09.30 น. รถออก
11.00 น. รถแวะพัก
11.30 น. รถออกเดินทางอีกครั้ง
13.00 น. ถึงสถาณนีรถบัสที่ลี่เจียง นั่งรถสาย 11 เข้าเมือง ฝนตกเลยแวะร้านอาหาร
14.00 น. ตระเวณหาที่พัก
15.00 น. จะไปสระมังกรดำ แต่เสียดายค่าเข้า เลยถอย


บุคลิกอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวด้วยตัวเองคือ
โอกาสของการผิดแผนเป็นไปได้สูงมาก
ถึงขั้นที่บ้างครั้งเรียกว่าผิดพลาด

หลังจากล่าถอยจากสระมังกรดำ
พวกเราก็แยกย้ายกันเดินเล่นในเมือง

เมืองลี่เจียงยามค่ำคืนมีเสน่ห์ไม่แพ้กลางวัน
อากาศที่เย็นสบาย
สีสันของบรรดาโคมไฟจากร้านต่างๆ
ผู้คนที่เดินท่องเที่ยว

น่าประทับใจ
และรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสไปสัมผัส

แน่นอนว่าก่อนเข้านอนคืนนั้น
พวกเราทำการนัดแนะโปรแกรมกันคร่าวๆ
โดยพวกเราตกลงเช่ารถกับทางเกสเฮ้าส์
เพื่อให้ไปส่งที่จุดขึ้นกระเช้าของภูเขาหิมะมังกรหยก

จริงๆความต้องการสั้นๆแค่นี้
ยิ่งเพื่อนพูดภาษาจีนได้
น่าจะใช้เวลาไม่เกินสิบนาที
สิบนาทีที่ว่าก็เพื่อต่อรองราคา

แต่
พวกเราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
เพราะทางเจ้าของเกสเฮ้าส์พยายามนำเสนออะไรก็ไม่รู้
จนพวกเราต้องวาดรูปและย้ำ
พร้อมทั้งให้เขียนเป็นหลักฐานว่า
พวกเราต้องการแค่ไปส่งที่จุดขึ้นกระเช้าเท่านั้น
ไม่ต้องการการนั่งม้า ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น

ถึงตอนเช้า
พวกเราก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อรถของพวกเรา
ขับไปเจอกับเพื่อนคนไทย
ที่เจอะเจอมาตลอดทางบนรถไฟ

ระหว่างทางเกิดรุ่งกินน้ำ
พวกเราสนุกสนานกับการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จนรถมาถึงจุดที่ต้อง่ายเงินค่าเข้า
คนขับรถบอกกับพวกเราว่า จ่ายคนละ 262 หยวน
ตรงจุดนี้พวกเรายังไม่เห็นกระเช้า
ก็ยังนึกกันไปเรื่อยๆว่ากระเช้าคงต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย

ปรากฏว่าเมื่อจ่ายตังค์
ถูกจับให้นั่งม้า
แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ เรื่อยๆ

จนไปสุดทางเกือบเที่ยง

และพวกเราก็เพิ่งแน่ใจว่า
นี่ไม่ใช่จุดที่เราจะไปเหยียบหิมะ

พวกเราถูกพามาผิดที่

ด้วยการพูดจาไม่เยอะ
พวกเราพูดสั้นๆ ว่ากลับ
เราจะไปขึ้นกระเช้า

พวกเราจึงเป็นนักท่องเที่ยวชุดแรกของวันนี้
ที่ขึ้นเป็นชุดแรก และกลับลงมาอย่างรวดเร็ว

แล้วเราก็กลับลงมาเจอคนขับรถที่รออยู่ด้านล่าง
พวกเราก็พูดสั้น ปู้ตุ้ย พร้อมกับทำหน้าบึ่งๆ
แล้วก็บอกให้พาไปจุดที่ขึ้นกระเช้า

เจ้าของรถก็ต้องพาไปแบบจำใจเล็กน้อย
เมื่อไปถึงจุดที่ต้องจ่ายค่าตั๋ว
คนขับรถลงไปจัดการ
แล้วกลับมาบอกว่า
วันนี้ขึ้นไม่ได้ ลมแรง
พวกเราไม่เชื่ออีกต่อไป
จึงจัดการไปซื้อตั๋วเอง
แล้วก็เข้าไปรอคิวขึ้นกระเช้า

ระหว่างรอก็เจอกลุ่มคนไทยอีกลุ่ม
จึงแลกเปลี่ยนเรื่องเล่ากันเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
การที่เรามาถึงจุดขึ้นกระเช้าเย็น
จึงไม่ต้องรอคิวขึ้นกระเช้านาน
แต่เราก็มีเวลาอยู่บนภูเขาหิมะมังกรหยกน้อยลง

ยอมรับว่าตื่นเต้นกับการที่จะได้เหยียบหิมะเป็นครั้งแรก

เราใช้เวลาถ่ายรูป นั่งเล่น
จนเจ้าหน้าที่ข้างบนต้องไล่ให้กลับลงมา
เพราะหมดเวลาแล้ว

กลับลงมาถึงข้างล่าง
ก็ไม่มีรถกลับเข้าเมือง
เพราะเจ้ารถเกสเฮ้าส์ต้องไปรับคนที่สนามบิน
จึงขอแยกตัวไปตั้งแต่ต้นแล้ว

พวกเราหาวิธีการต่างๆเพื่อจะเข้าเมืองให้ได้
โชคดีที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นปรสบชะตากรรมเดียวกัน
จึงมีพรรคพวกสำหรับการตามหารถเพื่อเข้าเมือง

จริงๆ จะมีรถเมลล์จากจุดขึ้นกระเช้าเพื่อเข้าเมือง
แต่เนื่องจากเวลาที่พวกเราลงมานั้นมันเย็นมากแล้ว
รถเมลล์จึงหมดแล้ว

ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือกันทุกฝ่าย
พวกเราก็หารถกลับมาในเมืองเก่าลี่เจียงจนได้

วันนี้ก็ถือเป็นอีกวันหนึ่ง
ที่ทุกอย่างผิดไปจากแผนโดยสิ้นเชิง

โดยต้องเสียค่าผิดพลาดคนละ 262 หยวน
ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1300 บาท
รวมห้าคนก็ 6000 กว่าบาท ก็เสียดายอยู่เหมือนกัน
แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์สนุกๆของการท่องเที่ยว

Sunday, July 08, 2007

Dali - เมืองของตระกูลต้วน



สัญลักษณ์ของเมือง

- - - -

นวนิยายกำลังภายในมักกล่าวถึงตระกูลต้วน
โดยเฉพาะที่ทุกคนจดจำกันได้ดี คือต้วนอี้
แห่งแปดเทพอสูรมังกรฟ้า

ตระกูลต้วน เป็นตระกูลเจ้าเมืองที่ครองเมืองต้าลีฟู
หรือเมืองต้าลี่ ในปัจจุบัน

ภาพยนตร์แปดเทพอสูรมังกรฟ้าภาคล่าสุด
ก็ถ่ายทำที่นี้

รถไฟจากคุณหมิงถึงต้าลี่ตอนประมาณตีสาม
พวกเรารอจนมีรถเมล์ เพื่อนั่งไปเมืองเก่าต้าลี่

ตอนเช้าๆ เมืองยังคงเงียบสงบ
ผมรู้สึกชอบเมืองนี้

จัดการเรื่องที่พักเสร็จ
ก็เหมารถเที่ยวต่างที่ต่างๆ

เริ่มด้วยหมูบ้านซาผิง
ที่เป็นตลาดสำหรับชาวบ้านจริงๆ
ต่อด้วยการไปดูสถานที่ถ่ายทำ
ภาพยนตร์เรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า
เป็นถ้ำที่ไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่
แล้วเราก็เลยไปดูทะเลเอ่อไห
หรือทะเลสาบหนองแส ที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก

ทะเลสาบก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
พวกเราเลยอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับ
Three Pagodas ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก
เลยเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
ที่นี้นักท่องเที่ยวเยอะ
ส่วนมากเน้นมาไหว้พระตามตำหนักต่างๆ
เพราะมีหลายชั้นมากๆ
กินบริเวณภูเขาเป็นลูกๆ

หลังอาหารเย็น
พวกเราก็เดินเล่นในเมืองเก่าต้าหลี
มีร้านขายของมากมาย
นักท่องเที่ยวก็มากมายเช่นกัน
ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วยกันเอง
ฝรั่งหัวสีทอง ไม่ค่อยเจอมากนัก

อากาศที่เมืองนี้
เย็นสบายดี

ถือเป็นเมืองหนึ่ง
ที่ผมประทับใจ มาก













เมืองเก่า ต้าลี่







ตลาด ที่เป็นตลาดจริงๆ ไม่ใช่ตลาดเพื่อนักท่องเที่ยว




วัด อะไรสักอย่าง ในเขตวัดอันมากมาย



ประตูเมืองต้าลี่
ใกล้ๆกันมีร้านขายเบเกอรี่ อร่อยดี

Saturday, July 07, 2007

คุณหมิง เมืองกระทิงทอง



หน้าสถานีรถไฟคุณหมิง




ฝั่งตรงข้ามกับรูปแรก




ทะเลสาบ Dian Chi ในสวนสาธารณะ Haigeng



ทางเดินข้างๆ ทะเลสาบ

- - - - -

ตามโปรแกรมที่วางใว้คร่าวๆคือ
เมื่อเข้าเมืองคุณหมิง
พวกเราจะต้องรีบไปจองตั๋วรถไฟไปต้าหลี่
เวลาหลังจากนั้นก็เที่ยวในเมืองคุณหมิง
รอเวลารถไฟออก

จากสนามบินไปสถานีรถไฟ
ระยะทางไม่ไกล
มือใหม่เพิ่งท่องเที่ยวคุณหมิงอย่างพวกเรา
ก็ต้องใช้บริการแท็กซี่

แต่เพื่อนคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องกระเป๋า
ทำให้เธอต้องกลับไปเปลี่ยนกระเป๋าที่สนามบินอีกครั้งหนึ่ง
พวกเพื่อนที่เหลือจึงไปทำการจองตั๋วรถไฟ
ด้วยความช่วยเหลือจากเจ๊คนจีน
ผู้เป็นนายหน้าเรื่องรถแท็กซี่จากสนามบิน

หลังจากเสร็จจากเรื่องราวการจองตั๋ว
พวกเราก็พยายามถามทางเพื่อหาที่เที่ยวใกล้ๆ
เป้าหมายคือ วัดสักที่หนึ่ง

รถเมลล์สาย 44 พาพวกเราไปสุดสายที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนพวกเราทั้งหมดจะตื่นเต้นกับอากาศที่เย็น
ลมที่พัดแรง บรรยากาศธรรมดาๆ ที่ทุกคนรู้สึกว่าน่าชื่นชม

กลับจากสวนสาธารณะ
พวกเราหาอะไรทานก่อนขึ้นรถไฟ
เลือกร้านได้ร้านหนึ่ง
กำลังพยายามสั่งอาหาร
ก็เจอกับพี่คนไทยโต๊ะข้างๆ
นอกจากพี่เขาจะช่วยสั่งอาหารแล้ว
ยังแบ่งอาหารมาให้พวกเราได้ชิมด้วย

หลังมืออาหาร
ก็ได้เวลาเดินทางไปสถานีรถไฟ
และรถไฟของจีน
ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า
ช่างมีมาตรฐานที่ดีมาก

บนรถไฟตู้นอนนั้น
ผมกับรุ่นพี่อีกคน
นอนร่วมกับคู่รักชาวจีน
ส่วนพวกสาวๆที่เหลือนอนห้องเดียวกัน

มีกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง
เดินทางบนรถไฟเดียวกัน
แต่เรายังไม่ได้ทักทายกัน
เพราะเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน
เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว
ก็จัดที่จัดทางนอน ทันที


ปล
1.
คอมพ์เสียมาเป็นเดือน
เพิ่งฉลาด
เพราะเขาบอกว่าซ่อมง่ายมาก

2.
เรื่องดอง
ตั้งแต่เมษา
แชงกรีล่า นั่นแหละ

ออกจากด่านซ้าย
ผ่านไปทางภูทับเบิก
แวะถ่ายรูปเล็กน้อย
แล้วก็เข้าพักที่ภูหินร่องกล้า

ข้อความในโปรแกรมคร่าวๆ
ที่คนจัดทริปเชิญชวน
ดูจะมีแรงดึงดูดมากกว่าผีตาโขน

ภูหินร่องกล้า ถูกบอกเล่าผ่านตัวหนังสือมากมาย
โดยเฉพาะเรื่องราวการต่อสู้ของ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

สักครั้งหนึ่ง
ที่อยากไปเห็น
ว่ามันเป็นเช่นไร

อากาศเย็นสบาย น่าอยู่
ยิ่งดอกไม้ที่บานบนลานภู
ยิ่งน่ารื่นรมย์

หากมีไทม์แมชชีน
อยากได้มีโอกาสเห็นชุมชนแห่งนี้
ในวันที่มันยังมีชีวิตอยู่

ซึ่งคงได้แต่คิด
เพราะคาดว่าคงไม่มีใครจัดทริป
ไปเป็นคอมมิวนิสต์ บนภูหินร่องกล้า










ผี กลางแดด










เป็นครั้งแรกที่ออกทริปกับบรรดาตากล้อง
ที่จริงจังกับการถ่ายรูป
สมาชิกแต่ละคนพกอุปกรณ์เต็มอัตราศึก
และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันสำหรับงานผีตาโขน
ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

จากกรุงเทพประมาณสามทุ่ม
ตีสามกว่าๆก็ถึงที่อำเภอด่านซ้าย
ทันพีธีในตอนเช้า (เรียกว่ามืดจะดีกว่า)
ตระเวนถ่ายรูปในงานเรื่อยๆ
จนกระทั่งบ่ายสาม
นับว่าเป็นกลางวันที่ยาวนานมาก


แดดร้อนมากๆ
สงสารบรรดาเด็กๆที่ต้องมาแต่งตัวเป็นผี
เดาเอาว่าบรรดาผีเด็ก มาเพราะถูกบังคับ
อาจจะมีการแลกกับคะแนน
เพราะในแถวที่ตั้งรอ มีอาจารย์มาเช็คชื่ออยู่บ่อยๆ

บรรดาชาวบ้านจาก อบต ต่างๆ ก็ไม่น่าจะต่างกัน
คงมาด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง

และแน่นอนบรรดาตากล้องจากที่ต่างๆ
ซึ่งเกือบจะมากกว่าผีซะด้วยซ้ำ
ก็คงมาเพราะอยากได้รูปสวยๆ

ต่างคนต่างจุดหมายต่างที่มา
ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ยังจะมีใครที่มาร่วมงาน
ด้วยเหตุผลดั่งเดิมของประเพณีในอดีต

ซึ่ง ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมงาน
ไม่เห็นจะมีใครกล่าวถึงกันเลย


ปล.

รูปทั้งหมดเกิดจากการครอป
ทั้งๆที่ครอปแล้วก็ได้เท่านี้แหละ
แต่ก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่า
ไม่ชอบถ่ายรูปแบบนี้

บรรดาพฤติกรรมหลายๆอย่างของตากล้อง
ที่ทำให้เขาได้รูปสวยๆมาให้เราได้ชื่นชมนั้น
กลับสร้างความอึดอัด บ้างครั้งถึงขั้นหงุดหงิด
ถึงกับรำพึงว่า มารยาท และความเคารพอยู่กันที่ไหน