Monday, March 13, 2006

ชี วิ ต ค น โ ส ด



เที่ยงวันศุกร์


ฟังธรรม
วันนี้พูดถึงหน้าที่ของผู้นำครอบครัว
ในการนำพาครอบครัวไปความสุข ความเจริญ

ก็ได้แต่ฟังใว้
เพราะยังไม่ได้เป็นหัวหน้าใคร
และคาดว่า อีกนาน กว่าจะได้เป็น


เย็นวันศุกร์


ว่าง โดยบังเอิญ
คราแรกตั้งใจจะไปงานท่องเที่ยวทั่วไทย
แต่รุ่นพี่เล่าว่าไปมาแล้ว
พวกเราคงไม่ไช่กลุ่มเป้าหมาย
จึงไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก

คราที่สองตั้งใจจะไปออกกำลังกาย
แต่เกิดอาการปวดเข่า
เป็นอาการปวดอีกแบบ ต่างจากเมื่อก่อน
แต่ก็สร้างความกังวลใจอย่างมาก
เพราะกำลังจะจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน
เพื่อไปเดินเขาที่ประเทศเนปาล

ท้ายที่สุด ก็ไปร้านหนังสือ

เจอหนังสือ บันทึกเบื้องการถ่ายทำ invisible wave โดยพี่รัต - นวรัตน์ รุ่งอรุณ
เดาว่านี่คือหนังสือเล่มใหม่ ตามที่พี่รัตน์เคยแมสแสสมาบอก
เพราะตอนอ่านเแมสแสส มันเป็นชื่อภาษาไทย ที่เครื่องผมอ่านไม่ออก
แต่ก็ได้แค่หยิบมาเปิดผ่าน ยังไม่ได้ซื้อ
เพราะยังไม่ได้ดูหนัง กะว่าซื้อไปก็ไม่น่าจะได้อ่าน

หนังสือที่ซื้อติดมือมามีชื่อว่า ให้ความรักนำทาง
เขียนโดย วีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง
นักเขียนประจำ(มั้ง)ของหนังสือสารคดี

คำโปรยของหนังสือ เขียนใว้ว่า

มิตรภาพ
ความรัก
และคืนวันอันแสนงาม
บนหนทางวเนจร

ปกติมีแต่คนบอกว่า อย่าตัดสินใจซื้อหนังสือ เพียงแค่ปก
แล้วการที่ผมเลือกซื้อหนังสือจากชื่อบท
มันจะเข้าทำนองเดียวกันหรือเปล่าละ

ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ถูกอ่านไปได้ประมาณแปดส่วนจากสิบส่วน
เดี่ยวอ่านจบค่อยมาเขียนบันทึก



คืนวันศุกร์


ความจริงมีงานหลายชิ้นจะต้องเคลียร์ส่ง
แต่กลับมาก็นอนอ่านหนังสือ
นอนฟังเพลง
นอนดูทีวี
ทำพร้อมๆ กันทั้งสามอย่างนั่นแหละ

ดูไปดูมา
ดูท่านเหลี่ยมออกรายการสอรายูด
ดูท่านเหลี่ยมสลับกับบรรยากาศที่สนามหลวง
มีคำถามทิ้งใว้ในใจ

หากคนชอบทักษิณสิบล้าน
คนออกมาประท้วงไล่ห้าล้าน
เสียงใครควรดังกว่ากัน

แล้วถ้าเสียงห้าล้านเกิดเป็นคนดังๆ
เสียงมันจะดังกว่าสิบล้านไหม

คำตอบคือ การเคารพความคิดกันและกัน
ในวันที่เราเห็นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
มันจะเกิดขึ้นได้ไหม


เช้าวันเสาร์


ตื่นมาด้วยความหิว
ลงไปกินข้าวมันไก่
เสร็จแล้วนอนเล่น
นอนกลิ้งไปกลิ้งมา
หลับบ้าง ตื่นบ้าง

เพื่อนสนิทโทรมายืมเงินห้าบาท
ไม่ต้องถามมันก็รู้ ว่าทำไมมันถึงกล้าเอ่ยปากยืมผม
เหตุผลที่มันชอบอ้างเสมอๆคือ
พวกมรึงไม่มีภาระ และโสด
ฟังดูเหมือนเป็นโรคร้าย มีความผิด
แต่ก็ไม่เคยเถียงมัน

ในใจอยากปฏิเสธ
เพราะกลัวเสียทั้งเงินและเสียทั้งเพื่อน
แต่ก็พูดออกไปไม่ได้
สุดท้ายก็ต้องยอมให้มันยืม


เสาร์เที่ยง


ไปทำงาน
ระหว่างนั่งทำงาน
ก็โม้กับชาวบ้านทางเอ็มไปบ้าง
ส่วนมากก็หนีไม่พ้นเรื่องทักษิณ

น้องคนหนึ่งบอกว่า
คิดถึง ใครพูดก็รู้สึกดี
ผมไม่ค่อยเห็นด้วย
ก็ถือเป็นหัวบ้อสนทนาที่ยืดยาวได้

กว่าจะได้เลิกงาน ก็เที่ยงคืน


อาทิตย์เช้า


ตื่นสายๆ
โทรศัพท์มือถือดัง
พอจะลุกไปรับก็เงียบ
ยังไม่อยากตื่น จึงยังไม่โทรกลับ
โทรศัพท์ที่ห้องดัง
พอจะลุกไปรับมันก็เงียบอีก
เดาว่าเป็นคนเดิมกับเมื่อกี้

ดัดสินใจลงไปกินข้าว
กินเสร็จก็โทรกลับไปหาเพื่อน
ก็เลยรู้ว่าอยู่ห้องเพื่อนอีกคน
ก็เลยแวะไปหามัน

แล้วก็ชวนกันไปกินข้าวอีกรอบ (ตรูเพิ่งกิน)

เพื่อนกลุ่มมอปลาย
นาน นาน จะเจอกันซะที
ไม่ใช่ไม่อยากเจอกัน
แต่ไม่มีใครเริ่มต้น ที่เหลือก็เลยเฉยๆ


เที่ยงวันอาทิตย์


กว่าจะรวมตัวกันได้ก็บ่ายๆ
เลือกกินกันที่สยามพารากอน
ส่วนมากหนักไปทางขนม กับกาแฟ
ทั้งอิ่ม ทั้งอืด และก็หัวเราะตลอดเวลา

เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แต่งงานแล้ว
กำลังพยายามมีลูก แต่ยังไม่ประสบผล
ทุกคนก็แซวว่า ไร้น้ำยา
มันก็สวนกลับทันทีว่า
ก็ยังดีที่ได้พยายาม
ดีกว่าไอ้พวกยังไม่มีเมีย
ซึ่งก็ยังดีกว่าไอ้พวกยังไม่มีแฟนอีกหลายขั้น
อันหลังนี้มันหันมาทางผม

แล้วมันก็พูดต่อว่า
พวกเอ็งไม่แนะนำใครให้มันรู้จักบ้าง

เพื่อนอีกคนก็สวนขึ้นมาทันทีว่า
นิสัยอย่างผม สงสารคนที่จะมาอยู่ด้วย

มันยืนยันความเชื่อของมันว่า
มันโทรผมหาผมไม่เคยติด
ถึงติดก็ไม่เคยรับ
ผู้หญิงที่ไหนจะทนได้

สงสัยพวกมันจะลืมไปว่า
เพื่อน กับ แฟนมันต่างกันเฟ้ย
หากเป็นแฟนนะ ผมไม่จะรีบรับสายทันที
สัญญา

แต่มัน ไม่เชื่อ


เย็นวันอาทิตย์

ยังไม่ทันหายอิ่ม
ก็ต้องรีบวิ่งไปหาเพื่อนอีกลุ่ม
เพื่อเตรียมตัวไม่งานแต่งงาน

ปรกติผมเคยประกาศ และยื่นคำขาดไปแล้ว
ว่าจะไม่ไปงานแต่งงานอีกเป็นอันขาด
เพราะเบื่อ และขี้เกียจ (อิจฉาด้วย)

แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องไปอีกจนได้
รุ่นน้องที่แต่ง เป็นอาจารย์ที่มหานคร
และก็ทำงานฝิ่นด้วยกัน
ก็เลยต้องรักษามารยาท

แล้วก็เหมือนเดิม
งานแต่งงานคือ งานแต่งงาน
มันช่างน่าเบื่อ จอมปลอม และสิ้นเปลืองจริงๆ

ผมไม่เคยแต่งงาน
จึงไม่รู้ว่า งานแต่งงานเขาต้องการอะไร
อยากรู้ว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการไหม
เพราะผมไม่ได้ให้อะไรเขาเลย นอกจากเงิน
และดูเหมือนทุกคนก็มาแบบ งั้น งั้น


คืนวันอาทิตย์

หลังจากใช้ชีวิตมาทั้งวัน
ก็ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง

นอนอ่านหนังสือ
ฟังเพลง
ดูทีวี
แล้วก็หลับ

รู้สึกว่า ชีวิตเราตอนนี้ ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
ทำไมจะต้องดินร้นไปสู่อาณาจักรใหม่
ที่ที่เราเองก็ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้
แม้ทุกคนจะบอกว่าดินแดนใหม่มันดีอย่างไร
แต่หากเรายังไม่พร้อม
เราก็ยังไม่ควรจะหลงไปตามคำคนอื่น



สายวันจันทร์

มาถึงที่ทำงานเกือบสิบโมง
ทำงานเล็กน้อย
เปิดเนตดูโน้นดูนี่
แล้วก็เดินไปคุยกับพี่ๆ

ได้ข่าวว่า ออฟฟิศกำลังจะปลดพนักงานเดือนหน้า
ได้ยินครั้งแรก ตกใจเล็กน้อย
แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าเข้าทางดีแล้ว
ได้เงินมา จะได้ไปเที่ยวสักเดือน
แล้วค่อยกลับมาหางาน

แต่พี่ๆ คนอื่นๆ เครียด
เพราะทุกคนมีรายจ่าย ที่ต้องจ่ายประจำ
ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเทอมลูก จิปาถะ
นี่ก็คงเป็นอีกด้านของอาณาจักรใหม่


บ่ายวันจันทร์

แผนกผมได้งานชิ้นใหม่ ราคาหกสิบบาท
เป็นงานปรับปรุงห้าง เพื่อทำโรงหนัง
งานนี้ใช้เวลาหนึ่งเดือน คนทำงานสองคน
ก็ถือว่ามีงานใหม่เข้ามา

บรรยากาศออฟฟิศเปลี่ยนไปจากตอนเช้าพอสมควร
เหมือนกับมีลมหายใจไปอีกสามเงือก

แต่หัวหน้าบอกว่า
งานนี้ต้องทำเดือนเมษา
มันจึงกระทบต่อผมอยู่ดี
เพราะเมษาผมจะไปเที่ยว

เฮ้อ เรื่องมาแบบไหนก็กระทบตรูทั้งนั้น

2 Comments:

At 10:00 AM, Anonymous Anonymous said...

เอก็ไม่เชื่อ !



//หันไปถามพี่เอ

"พี่เอเชื่อมั้ย?"

 
At 12:30 AM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ

 

Post a Comment

<< Home